ในเดือนสิบสอง ยังมีพระราชพิธีอีกหลายพระราชพิธีที่มีมาแต่รัชกาลก่อนในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งผมจะอัญเชิญมาดังนี้
หน้าที่ ๑๗ ถึงหน้าที่ ๑๙
การพระราชพิธีกะติเกยา ตามคำพระมหาราชครูพิธี ได้
กล่าวว่า การพระราชพิธีนี้แต่ก่อนได้ทำในเดือนอ้าย แต่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนมาทำในเดือน
สิบสอง การซึ่งจะกำหนดทำพระราชพิธีเมื่อใดนั้น เปนพนักงาน
ของโหรต้องเขียนฎีกาถวาย ในฎีกานั้นว่าโหรมีชื่อได้คำณวนพระ
ฤกษ์ พิธีกะติเกยากำหนดวันนั้น ๆ พระมหาราชครูจะได้ทำ
พระราชพิธีนั้น ๆ ลงท้ายท้าว่าจะมีคำทำนาย แต่ไม่ปรากฏ
ว่าได้นำคำทำนายขึ้นมากราบเพ็ดกราบทูลอันใดต่อไปอีก ชรอย
จะเปนด้วยทำนายดีทุกปีจนทรงจำได้ แล้วรับสั่งห้ามเสีย ไม่ให้
ต้องกราบทูลแต่ครั้งใดมาไม่ทราบเลย การซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนพิธีมาทำในเดือนสิบสองนั้น
คือกำหนดเมื่อพระจันทร์เสวยฤกษ์กฤติกาเต็มบริบูรณ์เวลาไร เวลา
นั้นเปนกำหนดพระราชพิธี การซึ่งทรงกำหนดเช่นนี้ก็จะแปลมาจาก
ชื่อพิธีนั้นเอง การที่พระมหาราชครูพิธีว่าเมื่อก่อนทำเดือนอ้านนั้น
เปนการเลื่อนลงมาเสียดอก แต่เดิมมาก็ทำเดือนสิบสอง ครั้น
เมื่อพิธีตรียัมพวายเลื่อนไปทำเดือนยี่แล้ว การพิธีนี้จึงเลื่อนตาม
ลงไปเดือนอ้าย เพราะพิธีนี้เปนพิธีตามเพลิงคอยรับพระเปนเจ้าจะ
เสด็จลงมา ดูเปนพิธีนำน่าพิธีตรียัมพวาย ที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้กลับขึ้นไปทำเดือนสิบสองนั้นก็
เพราะจะให้ถูกกับชื่อพิธีดังที่ว่ามาแล้ว พระราชพิธีนีคงตกอยู่
ในระหว่างกลางเดือนสิบสอง เคลื่อนไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง
เล็กน้อย คงจะเกี่ยวกับพระราชพิธีจองเปรียงอยู่เสมอ การที่
ทำนั้นคือปลูกเกยขึ้นที่น่าเทวสถานสามเกย สถานพระอิศวรเกย ๑
สถานมหาวิฆเนศวรเกย ๑ สถานพระนารายน์เกย ๑ เกยสูง ๔
ศอกเท่ากัน ที่ข้างเกยเอามูลโคกับดินผสมกันก่อเปนเขาสูงศอก
หนึ่งทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่าบัพพโต แล้วเอาหม้อใหม่ ๓ ใบถักเชือก
รอบนอกเรียกว่าบาตรแก้ว มีหลอดเหล็กวิลาดร้อยไส้ด้ายดิบ
เก้าเส้น แล้วมีถุงเข้าเปลือกถั่วงาทิ้งลงไว้ในหม้อนั้นทั้ง ๓ หม้อ
แล้วเอาไม้ยาว ๔ ศอกเรียกว่าไม้เทพทณฑ์ปลายพันผ้าสำหรับชุบ
น้ำมันจุดไฟ ครั้นเวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีบูชาไม้เทพทณฑ์แล
บาตรแก้ว แล้วอ่านตำหรับจุดไฟในบาตรแก้ว แล้วรดน้ำสังข์
จุณเจิมไม้นั้น ครั้นจบวิธีแล้วจึงได้นำบาตรแลไม้เทพทณฑ์
ออกไปที่น่าเทวสถาน เอาบาตรแก้วตั้งบนหลักริมเกย เอาปลาย
ไม้เทพทณฑ์ที่หุ้มผ้าชุบน้ำมันจุดไฟพุ่งไปที่บัพพโตทั้ง ๔ ทิศ เปน
การเสี่ยงทาย ทิศบูรพาสมมุติว่าเปนพระเจ้าแผ่นดิน ทิศทักษิณ
สมมุติว่าเปนสมณะพราหมณ์ ทิศประจิมว่าเปนอำมาตย์มนตรี
ทิศอุดรว่าเปนราษฏร พุ่งเกยที่หนึ่งแล้วเกยที่สองที่สามต่อไป
จนครบทั้งสามเกยเปนไม้สิบสองอัน แล้วตามเพลิงในบาตรแก้วไว้
อิกสามคืน สมมุติว่าตามเพลิงคอยรับพระเปนเจ้าจะเสด็จลงมา
เยี่ยมโลกย์ เมื่อพุ่งไม้แล้วกลับเข้ามาสวดบูชาเข้าตอกบูชาบาตร
แก้วที่จุดไฟไว้น่าเทวสถานทั้ง ๓ สถาน ต่อนั้นไปอีกสองวันก็ไม่
มีพิธีอันใด วันที่สามนำบาตรแก้วเข้าไปในเทวสถาน รดน้ำ
สังข์ดับเพลิงเปนเสร็จการพระราชพิธี
การพระราชพิธีกะติเกยานี้ เปนพิธีพราหมณ์แท้ แลเหตุผล
ก็เลื่อนลอยมาก จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่รู้ที่จะ
ทรงเติมการพิธีสงฆ์ฤาแก้ไขเพิ่มเติมอันใดได้ แต่เปลี่ยนกำหนด
ให้ถูกชื่ออย่างเดียว คงอยู่ด้วยเปนพิธีราคาถูกเพียง ๖ บาท
เท่านั้น ฯ
ตามในพระราชนิพนธ์นี้เปนพิธีพราหมณ์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ถึงขั้นตอนในการทำพิธีและของที่โดยละเอียด ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นำเสนอหน้าจะเปนความเชื่อในการบูชาที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อเรื่อพระอัคคีที่เป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับเทพพระเจ้าทั้งสามถ้าหากได้ทราบถึงข้อความในการอ่าน"ตำหรับ" ของพระมหาราชครู ซึ่งถ้าหากท่านผู้ใดทราบข้อความกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยเพื่อเปนวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจ และมีความชัดเจนในพิธีนี้มากขึ้น เพราะในพิธีพราหมณ์ยังมีพิธีเกี่ยวกับไฟอีกมากเช่นพิธีโหมกูณ เป็นต้นซึ่งจะนำมาเสนอต่อไปครับ
ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น