สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระนามเดิม สังวาลย์ ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอภิเสกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๖๓ ณ วังสระปทุม
ทรงมีพระโอรสธิดา ๓ พระองค์ คือ
๑.สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
๒.พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐรามาธิบดินทร รัชการที่ ๘
๓.พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ ๙
ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี
หลายท่านคงแปลกใจที่ผมนำพระประวัติพระราชชายา เจ้าดารารัศมี มานำเสนอ มีเหตุผลอยู่หลายประการ คือ ปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สวรรคต ๑๐๐ ปี จึงนำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องของพระองค์ท่านโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับแผ่นดินล้านนา และสายสัมพันธ์ที่เชื่อมแผ่นดินล้านนาและรัตนโกสินทร์เป็นพื้นแผ่นดินเดียวกัน โดยเกิดจากความรักความผูกพันธ์ของ พระพุทธเจ้าหลวงและพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เจ้าหญิงแห่งแผ่นดินล้านนา ซึ่งเป็นตำแหน่งพระมเหสีหนึ่งในห้าพระองค์ และ เดือนนี้ เป็นเดือนตุลาคม วันที่ ๒๓ ตุลาคม นี้เป็นวันปิยมหาราช ซึ่งเมื่อ ๑๐๐ปีที่ผ่านมาคือ วันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ เวลา ๒๔.๔๕ น.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคพระวักกะพิการ (ไตวาย) ณ.พระที่นังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สิริรวมพระชนมพรรษา ๕๗ พรรษา ๓๓ วัน และ เพื่อเฉลิมพระเกียรติที่ทรงมีคุณูปการต่อปวงชนชาวไทย ทั่วทั้งแผ่นดิน
วันนี้ก่อนที่จะคัดลอก หนังสือพระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ตอนต่อไป ผมขออธิบายถึงคำๆหนึ่งที่ใช้มากในตอนที่แล้ว คือ คำว่า กู่ ซึ่งในล้านนามีได้หลายความหมาย เช่นแปลว่าวัด เจดีย์ และสิ่งก่อสร้างคล้ายเจดีย์ ใช้บรรจุอัฐิของผู้ล่วงลับไปแล้ว ในภาคกลางเรียก สถูป กู่ในล้านนามีขนาดตั้งแต่ใหญ่คล้ายเจดีย์ จนเล็กๆ กู่ที่บรรจุอัฐิที่ใหญ่โตที่สุดใหญ่ ในเชียงใหม่หน้าจะเป็นกู่พระเจ้าติโลกราช แห่งราชวงศ์ มังราย ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดเจ็ดยอด เมืองเชียงใหม่ กู่ในยุกต์หลังเช่นกู่ครูบาศรีวิชัย ที่ วัดสวนดอก และกู้เจ้านายฝ่ายเหนือในวัดสวนดอก ซึ่งมีการสร้างและตกแต่งตามศิลปะในแต่ล่ะยุกต์แต่ละสมัย เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ครับ จากนี้ก็เข้าสู่เนื้อเรื่องใน หนังสือพระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ต่อน่ะครับ
ตอนที่ ๖ หน้าที่ ๘ ถึงหน้าที่ ๙
นอกจากนี้พระองค์ยังได้เสด็จไปนมัสการและทำบุญพระธาตุ พระบาท และปูชนียสถานสำคัญ ๆ อีกหลายแห่ง ประทับอยู่ที่นครเชียงใหม่ได้ ๖ เดือน ๘ วัน เสด็จกลับจากเชียงใหม่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ เสด็จลงเรือที่หน้าที่ทำการไปรษณีย์เวลานี้ รวมเรือ ๑๐๐ ลำเศษ เมื่อถึงเมืองอ่างทอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเรือยนต์เสด็จมารับที่นั้น แล้วพาไปประทับแรมที่พระราชวังบางปอิน ๒ ราตรี พระราชทานสร้อยพระกรประดับเพ็ชร์เป็นของขวัญที่นั้นด้วย ถึงกรุงเทพ ฯ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒, วันที่ ๑ ธันวา ขึ้นตำหนักที่โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างไว้สำหรับพระราชทานใหม่ในพระราชวังดุสิต พระราชทานเงิน ๒๐๐ ชั่ง (หมื่นหกพันบาท) กับพระราชทานเลี้ยงอาหาร (แต่งครึ่งยศ) โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้านายข้าราชการที่ลงไปส่งเสด็จ ร่วมโต๊ะเสวย และพระราชทานปถมาภรณ์มงกุฏสยามแก่เจ้าแก้วนวรัฐ ฯ เมื่อยังเป็นเจ้าอุปราช ซึ่งไม่เคยพระราชทานแก่เจ้าอุปราชใด ๆ กับพระราชทานหีบบุหรี่ทองคำแก่เจ้าแก้วนวรัฐ ฯ กับเจ้าพระยาสุรสี ฯ เบญจมาภรณ์มงกุฏสยาม แก่นายน้อย บุญทะวงศ์ เหรียญทองมงกุฏสยามแก่พญาพิทักษเทวี และพญาจันธุระกิจ เมื่อยังเป็นนายบุญยืน ซึ่งไปส่งเสด็จเวลานั้น.
จบตอนที่ ๖ ครับตอนต่อไป เสด็จกลับมาประทับอยู่เชียงใหม่ อย่างถาวรหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ไปเป็นเวลา ๓ ปีเศษ
วันนี้ก่อนที่จะคัดลอก หนังสือพระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ตอนต่อไป ผมขออธิบายถึงคำๆหนึ่งที่ใช้มากในตอนที่แล้ว คือ คำว่า กู่ ซึ่งในล้านนามีได้หลายความหมาย เช่นแปลว่าวัด เจดีย์ และสิ่งก่อสร้างคล้ายเจดีย์ ใช้บรรจุอัฐิของผู้ล่วงลับไปแล้ว ในภาคกลางเรียก สถูป กู่ในล้านนามีขนาดตั้งแต่ใหญ่คล้ายเจดีย์ จนเล็กๆ กู่ที่บรรจุอัฐิที่ใหญ่โตที่สุดใหญ่ ในเชียงใหม่หน้าจะเป็นกู่พระเจ้าติโลกราช แห่งราชวงศ์ มังราย ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดเจ็ดยอด เมืองเชียงใหม่ กู่ในยุกต์หลังเช่นกู่ครูบาศรีวิชัย ที่ วัดสวนดอก และกู้เจ้านายฝ่ายเหนือในวัดสวนดอก ซึ่งมีการสร้างและตกแต่งตามศิลปะในแต่ล่ะยุกต์แต่ละสมัย เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ครับ จากนี้ก็เข้าสู่เนื้อเรื่องใน หนังสือพระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ต่อน่ะครับ
ตอนที่ ๖ หน้าที่ ๘ ถึงหน้าที่ ๙
นอกจากนี้พระองค์ยังได้เสด็จไปนมัสการและทำบุญพระธาตุ พระบาท และปูชนียสถานสำคัญ ๆ อีกหลายแห่ง ประทับอยู่ที่นครเชียงใหม่ได้ ๖ เดือน ๘ วัน เสด็จกลับจากเชียงใหม่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ เสด็จลงเรือที่หน้าที่ทำการไปรษณีย์เวลานี้ รวมเรือ ๑๐๐ ลำเศษ เมื่อถึงเมืองอ่างทอง พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเรือยนต์เสด็จมารับที่นั้น แล้วพาไปประทับแรมที่พระราชวังบางปอิน ๒ ราตรี พระราชทานสร้อยพระกรประดับเพ็ชร์เป็นของขวัญที่นั้นด้วย ถึงกรุงเทพ ฯ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒, วันที่ ๑ ธันวา ขึ้นตำหนักที่โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างไว้สำหรับพระราชทานใหม่ในพระราชวังดุสิต พระราชทานเงิน ๒๐๐ ชั่ง (หมื่นหกพันบาท) กับพระราชทานเลี้ยงอาหาร (แต่งครึ่งยศ) โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้านายข้าราชการที่ลงไปส่งเสด็จ ร่วมโต๊ะเสวย และพระราชทานปถมาภรณ์มงกุฏสยามแก่เจ้าแก้วนวรัฐ ฯ เมื่อยังเป็นเจ้าอุปราช ซึ่งไม่เคยพระราชทานแก่เจ้าอุปราชใด ๆ กับพระราชทานหีบบุหรี่ทองคำแก่เจ้าแก้วนวรัฐ ฯ กับเจ้าพระยาสุรสี ฯ เบญจมาภรณ์มงกุฏสยาม แก่นายน้อย บุญทะวงศ์ เหรียญทองมงกุฏสยามแก่พญาพิทักษเทวี และพญาจันธุระกิจ เมื่อยังเป็นนายบุญยืน ซึ่งไปส่งเสด็จเวลานั้น.
จบตอนที่ ๖ ครับตอนต่อไป เสด็จกลับมาประทับอยู่เชียงใหม่ อย่างถาวรหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ไปเป็นเวลา ๓ ปีเศษ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)