ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
MUSEUM BENJAPON: การลอยพระประทีป ( พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุล...
MUSEUM BENJAPON: การลอยพระประทีป ( พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุล...: " ที่จริงวันนี้ก็ล่วงเลยวันลอยกระทงมาหลายวันแล้วแต่ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีลอยพระประทีปนำไปใช้ประโยชน์อีกมากมายจึงอัญเชิญพระราชนิพนธ์เรื..."
MUSEUM BENJAPON: การลอยพระประทีป ( พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุล...
MUSEUM BENJAPON: การลอยพระประทีป ( พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุล...: " ที่จริงวันนี้ก็ล่วงเลยวันลอยกระทงมาหลายวันแล้วแต่ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีลอยพระประทีปนำไปใช้ประโยชน์อีกมากมายจึงอัญเชิญพระราชนิพนธ์เรื..."
การลอยพระประทีป ( พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีสิบสองเดือนป
ที่จริงวันนี้ก็ล่วงเลยวันลอยกระทงมาหลายวันแล้วแต่ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีลอยพระประทีปนำไปใช้ประโยชน์อีกมากมายจึงอัญเชิญพระราชนิพนธ์เรื่องนี้มาให้ท่านผู้สนใจได้ทราบ ซึ่งข้อนข้างยาวคงจะมีหลาย ๆ ตอนอยู่ ขอเชิญท่านผู้สนใจติดตามดังนี้ครับ
หน้าที่ ๒๕ ถึงหน้าที่ ๒๗
การลอยพระประทีป
การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เปนนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริง
ทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วกัน ไม่เฉภาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเปน
พระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อัน
ใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า
ตรงกับคำที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเปน
ราชประเพณี ซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ ตั้งแต่พระ
นครยังอยู่ฝ่ายเหนือ เมื่อตรวจดูในกฎมณเฑียรบาลซึ่งได้ยกมา
อ้างในเบื้องต้น ต่อความที่ว่าพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมลงน้ำ
ไป มีความต่อไปว่า " ตั้งระทาดอกไม้ ในพระเมรุ ๔ ระทา หน้ง
๒ โรง" การเรื่องนี้ก็คงจะตรงกันกับที่มีดอกไม้เพลิงที่วัดพระศรี
รัตนสาศดาราม แลที่ชลาทรงบาตรบูชาหอพระในพระบรมมหา
ราชวัง ต่อนั้นไปก็ว่าด้วยการลอยประทีป การลอยประทีปที่ว่า
ในกฎหมายนี้มีเนื้อความเค้าเรื่องนพมาศ ซึ่งว่าท้าวศรีจุฬา
ลักษณ์ซึ่งเปนท้าวพระสนมเอก แต่ครั้งพระเจ้าอรุณมหาราชคือ
พระร่วง ซ฿งพระเจ้าแผ่นดินสยามตั้งแต่กรุงตั้งอยู่ ณ เมืองศุโข
ไทย ได้กล่าวไว้ว่าในเวลาฤดูเดือนสิบสอง เปนเวลาเสด็จลง
ประพาศในลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน พระอรรคมเหษี
แลพระสนมฝ่ายใน ตามเสด็จในเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรการ
นักขัตฤกษ์ ซึ่งราษฎรเล่นในเม่น้ำตามกำหนดปี เมื่อนาง
นพมาศได้เข้ามารับราชการ จึงได้คิดอ่านทำกระทงถวายพระเจ้า
แผ่นดิน เปนรูปดอกบัวแลรูปต่าง ๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล
แลคิดคำขับร้องขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชดำริห์จัดเรือ
พระที่นั่ง เทียบขนานกันให้ใหญ่กว้าง สำหรับพระสนมฝ่านใน
จะได้ตามเสด็จประพาศได้มาก ๆ ขึ้นกว่าแต่ก่อน และพระสนมที่
ตามเสด็จประพาศในการพระราชพิธีนั้น ย่อมตกแต่งประดับประดา
กายเปนอันมาก เมื่อพระสนมทั้งปวงได้ตามเสด็จด้วยกันโดยมาก
ดังนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องพระราชทานเครื่องวัตถาอาภรณ์ต่าง ๆ
ทั่วไปเปนที่ชื่นชมยินดีทั่วกัน มีข้อความพิศดารยืดยาว เนื้อ
ความก็คล้ายคลึงกันกับจดหมายถ้อยคำขุนหลวงหาวัด ซึ่งได้
กล่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินกรุงเก่า ฤาเปนพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐนั้น
เอง เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ทรงพระภูษาขาว เครื่องราชอาภรณ์
ล้วนแต่ทำด้วยเงิน แล้วล่องลงไปตามลำน้ำ มีจุดดอกไม้เพลิงที่
น่าพระอารามต่าง ๆ ข้อความยืดยาวอีกแต่ไม่รับประกันว่าฉบับที่ดี
พิมพ์ไว้นั้นเปนความจริงทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าได้อ่านฉบับเดิมนั้น
ช้านานมาแล้ว จะถูกต้องหันฤาไม่ถูกต้องไม่ได่ตรวจตราลเอียด
แต่ข้อความก็ลงเปนรอยเดียวกันกับที่มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาลได้
ความว่า ในฤดูเดือนสิบสองเปนเวลาที่น้ำในแม่น้ำใสสอาดแล
มากเต็มฝั่ง ทั้งเปนเวลาที่สิ้นฤดูฝน ในกลางเดือนนั้นพระจันทร์
ก็มีแสงสว่างผ่องใส เปนสมัยที่สมครวรจะรื่นเริงในลำน้ำในเวลา
กลางคืน พระเจ้าแผ่นดินจึงได้เสด็จลงประพาศตามลำน้ำพร้อม
ด้วยพระราชบริพารฝ่ายใน เปนประเพณีมีมาแต่กรุงศุโขไทยฝ่าย
เหนือโน้นแล้ว
ครับจากในพระราชนิพนธ์นี้ยังคงมีต่ออีกถึงหน้าที่ ๔๒ ซึ่งผมจะอัญเชิญมาเปนตอน ๆไป น่ะครับ.
หน้าที่ ๒๕ ถึงหน้าที่ ๒๗
การลอยพระประทีป
การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เปนนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริง
ทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วกัน ไม่เฉภาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเปน
พระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อัน
ใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่า
ตรงกับคำที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเปน
ราชประเพณี ซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ ตั้งแต่พระ
นครยังอยู่ฝ่ายเหนือ เมื่อตรวจดูในกฎมณเฑียรบาลซึ่งได้ยกมา
อ้างในเบื้องต้น ต่อความที่ว่าพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมลงน้ำ
ไป มีความต่อไปว่า " ตั้งระทาดอกไม้ ในพระเมรุ ๔ ระทา หน้ง
๒ โรง" การเรื่องนี้ก็คงจะตรงกันกับที่มีดอกไม้เพลิงที่วัดพระศรี
รัตนสาศดาราม แลที่ชลาทรงบาตรบูชาหอพระในพระบรมมหา
ราชวัง ต่อนั้นไปก็ว่าด้วยการลอยประทีป การลอยประทีปที่ว่า
ในกฎหมายนี้มีเนื้อความเค้าเรื่องนพมาศ ซึ่งว่าท้าวศรีจุฬา
ลักษณ์ซึ่งเปนท้าวพระสนมเอก แต่ครั้งพระเจ้าอรุณมหาราชคือ
พระร่วง ซ฿งพระเจ้าแผ่นดินสยามตั้งแต่กรุงตั้งอยู่ ณ เมืองศุโข
ไทย ได้กล่าวไว้ว่าในเวลาฤดูเดือนสิบสอง เปนเวลาเสด็จลง
ประพาศในลำน้ำตามพระราชพิธีในเวลากลางคืน พระอรรคมเหษี
แลพระสนมฝ่ายใน ตามเสด็จในเรือพระที่นั่งทอดพระเนตรการ
นักขัตฤกษ์ ซึ่งราษฎรเล่นในเม่น้ำตามกำหนดปี เมื่อนาง
นพมาศได้เข้ามารับราชการ จึงได้คิดอ่านทำกระทงถวายพระเจ้า
แผ่นดิน เปนรูปดอกบัวแลรูปต่าง ๆ ให้ทรงลอยตามสายน้ำไหล
แลคิดคำขับร้องขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชดำริห์จัดเรือ
พระที่นั่ง เทียบขนานกันให้ใหญ่กว้าง สำหรับพระสนมฝ่านใน
จะได้ตามเสด็จประพาศได้มาก ๆ ขึ้นกว่าแต่ก่อน และพระสนมที่
ตามเสด็จประพาศในการพระราชพิธีนั้น ย่อมตกแต่งประดับประดา
กายเปนอันมาก เมื่อพระสนมทั้งปวงได้ตามเสด็จด้วยกันโดยมาก
ดังนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องพระราชทานเครื่องวัตถาอาภรณ์ต่าง ๆ
ทั่วไปเปนที่ชื่นชมยินดีทั่วกัน มีข้อความพิศดารยืดยาว เนื้อ
ความก็คล้ายคลึงกันกับจดหมายถ้อยคำขุนหลวงหาวัด ซึ่งได้
กล่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินกรุงเก่า ฤาเปนพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐนั้น
เอง เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ทรงพระภูษาขาว เครื่องราชอาภรณ์
ล้วนแต่ทำด้วยเงิน แล้วล่องลงไปตามลำน้ำ มีจุดดอกไม้เพลิงที่
น่าพระอารามต่าง ๆ ข้อความยืดยาวอีกแต่ไม่รับประกันว่าฉบับที่ดี
พิมพ์ไว้นั้นเปนความจริงทั้งสิ้น เพราะข้าพเจ้าได้อ่านฉบับเดิมนั้น
ช้านานมาแล้ว จะถูกต้องหันฤาไม่ถูกต้องไม่ได่ตรวจตราลเอียด
แต่ข้อความก็ลงเปนรอยเดียวกันกับที่มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาลได้
ความว่า ในฤดูเดือนสิบสองเปนเวลาที่น้ำในแม่น้ำใสสอาดแล
มากเต็มฝั่ง ทั้งเปนเวลาที่สิ้นฤดูฝน ในกลางเดือนนั้นพระจันทร์
ก็มีแสงสว่างผ่องใส เปนสมัยที่สมครวรจะรื่นเริงในลำน้ำในเวลา
กลางคืน พระเจ้าแผ่นดินจึงได้เสด็จลงประพาศตามลำน้ำพร้อม
ด้วยพระราชบริพารฝ่ายใน เปนประเพณีมีมาแต่กรุงศุโขไทยฝ่าย
เหนือโน้นแล้ว
ครับจากในพระราชนิพนธ์นี้ยังคงมีต่ออีกถึงหน้าที่ ๔๒ ซึ่งผมจะอัญเชิญมาเปนตอน ๆไป น่ะครับ.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)