ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553
คุณยายเล่าให้ฟัง
คุณยายของผมเป็นที่รักของหลานท่านสมกับเป็นกุลสตรีในดวงใจท่านจะเป็นคนพูดเสียงเบาและอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนท่านไม่ออกไปที่ไหนนอกจากวันพระหรือมีงานของญาติๆและมักจะมีเรื่องเล่าให้ฟังเสมอ ที่บ้านคุณยายมีจาน(ชานบ้านบริเวณที่เป็นช่วงต่อเชื่อมระหว่างตัวบ้านแต่ละหลังและเรือนครัวซึ่งจะมีกระถางต้นไม้และตุ่มใส่น้ำวางเรียงไว้มีสูบโยกสำหรับสูบน้ำมาใช้บริเวณชานนี้จะไม่มุงหลังคา และพื้นเป็นไม้ที่ตีมีช่องห่างประมาณหนึ่งนิ้ว ส่วนมากใช้เป็นลานซักล้างและเป็นที่อาบน้ำฝนเมื่อฝนตก)และมีหน้าเต๋นคือเป็นบริวณที่ยกสูงกว่าชานขึ้นมามีสามด้านด้านที่เป็นเรือนใหญ่อยู่ทิศตะวันออกจะยกสูงขึ้นด้วยบันไดหนึ่งขั้น แต่เป็นเรือนสองชั้นห้องนอนจะอยู่ชั้นบนส่วนห้องด้านล่างใช้เป็นตู้เก็บของและที่ทำงานบ้านเช่นรีดผ้า เย็บผ้า เรือนที่กินข้าวอีกด้านทางทิศตะวันตกของชานจะยกเป็นบันไดขึ้นสามขั้นเป็นเรือนสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีตั่งไม้ตัวเตี้ยอยู่กลางเรือนและมีน้ำต้น(คนโฑ)ที่มีขันเงินใบใหญ่ครอบและมีจานรองด้านล่าง ส่วนเรือนครัวจะยกบันไดขึ้นหนึ่งขั้นอยู่ด้านทิศเหนือซึ่งมีตู้ใส่กับข้าวและมีเตาอยู่ด้านเหนือ ตรงกลางห้องครัว มีโต๊ะกลมแบบจีนที่มีหินอ่อนวางด้านบนและมีฝาชีใหญ่ครอบไว้ ชิดริมด้านตะวันตกเป็นที่เก็บจานชามและหม้อที่แขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ เตาไฟอยู่ชิดริมผนังด้านตะวันออก คุณยายมักจะนั่งอยู่ตรงนี้ในตอนบ่ายแก่ๆเตรียมเครื่องปรุงอาหารและทำอาหารเย็นด้วยตัวเองเพราะคุณตาจะไม่กินกับข้าวฝีมือคนอื่นเลย และหลานๆมักจะมาช่วยคุณยายเด็ดผักที่ชานของเรือนครัวและได้รู้เรื่องอะไรดีๆที่ท่านเล่าให้ฟัง กับข้าวที่คุณยายทำและทุกคนชอบคือ ฉู่ฉี่ปลา แกงสายบัว ต้มเค็มปลา นำพริกกะปิเป็นต้น ซึ่งผมจะนำมาเล่าในตอนต่อไปรวมทั้งสูตรอาหารของคุณยายด้วยนี้ใกล้เที่ยงแล้วต้องรีบไปหากับข้าวให้คุณแม่กินก่อนน่ะครับแล้วจะมาเล่าต่อ
พระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี
ครับจากในหนังสือพระประวัติ พระราชชายา เจ้าดารารัศมีทั้งสามตอนท่านได้ทราบถึงสายปฐมวงศ์ของพระองค์แล้วต่อมาในหนังสือก็จะกล่าวถึงการเสด็จกลับมาเยี่ยมเชียงใหม่ครั้งแรก ต่อก่อนอื่นผมขอเพิ่มเติมอีกนิดเพื่อเป็นความรู้ก่อนที่จะผ่านไปเกี่ยวเนื่องมาจากตอนที่สอง เกี่ยวกับการเกล้าผมของผู้หญิงล้านนาในอดีต ซึ่งเพิ่มเติมก็คือวิธีเกล้าที่เห็นทั่วไปนิยมเกล้าสูงเกือบกลางหัว แล้วดึงปอยผมทำเป็นห่วง(ว้อง) จึงเรียกเกล้าวิดว้อง อีกอย่างหนึ่งเรียกอั่วช้อง คือการนำผมมาต่อจากผมที่มีอยู่ให้ยาวและหนาขึ้นโดยใช้ ชัน เป็นตัวประสาน แล้วเกล้าจะได้มวยผมที่ใหญ่ขึ้น (ในปัจจุบันก็คือการต่อผมให้ยาวและเยอะแล้วเกล้ามวยนั้นแหล่ะครับ แบบที่สามก็นำเอา ช้องผม หรือผมที่เก็บไว้เป็นก้อนกลมลี มาเสริมโดยวางไว้บนหัวให้ดูพองขึ้นเล็กน้อยแล้วเอาผมที่ด้านหน้าหวีมาปิดแล้วเกล้าผมเป็นมวยและดึงผมข้างขมับให้พองอกมาเล็กน้อย เรียกว่า ชักหงีบ(ขมับ) อีกแบบหนึ่งคือเกล้าทรงญี่ปุ่น คือการเกล้าที่ด้านหน้าใช้ช้องหนุนให้สูง และแต่งให้เป็นกระบัง ซึ่งเป็นแบบที่นิยมทำในสมัยพระราชชายา เจ้าดารารัศมี นี้เองครับ เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ต่อเลยครับ
ตอนที่ ๔ หน้าที่ ๔ ถึงหน้า ๖
เสด็จกลับมาเยี่ยมเชียงใหม่ครั้งแรก
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ เมื่อพระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ลงไปเฝ้าทุลละอองธุลีพระบาท เป็นโอกาสเหมาะพระองค์ จึงได้กราบถวายบังคมลาขึ้นมาพร้อมกับเจ้าอินทวโรรส ฯ เพื่อเยี่ยมเยียนมาตุภูมิและประยูรญาติ โดยได้ นิราศไปเป็นเวลาถึง ๒๑ ปี โปรดเกล้า ฯ ให้มีสนม กรมวัง พระตำรวจ คุณท้าว เฒ่าแก่ จ่าโขลนตามเสด็จและพระราชทานวอช่อฟ้ากับพระกรดเป็นเกียรติยศ พระตำรวจเอกและนายพลตรี พระอนุชิตชาญไชย (สาย สิงหเสนี) เป็นพระอภิบาลกำกับการทั่วไป ก่อนที่จะเสด็จก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีการพระราชทานเลี้ยงส่งณพระที่นั่งอัมพรสถาน แล้วเสด็จไปทอดพระเนตร์ละครปรีดาลัย
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๑ เสด็จจากพระราชวังดุสิตเสด็จขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสน พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพร้อมด้วยพระบรมวงสานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ตลอดถึงข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยได้เสด็จและมาส่งยังสถานีเป็นอันมาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงหาดไทย กับพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี เสด็จส่งถึงปากน้ำโพ ซึ่งเป็นที่สุดของทางรถไฟเวลานั้น แล้วลงประทับเรือที่นั่งเก๋งประพาส มีเรือแม่ปะ สีดอ ชะล่า กว่า ๕๐ ลำ ปักธงทิวเป็นขบวนรอนแรมตามชลมารควิถี เมื่อผ่านเขตต์อำเภอ จังหวัด มณฑลใด เจ้าหน้าที่นั้น ๆ ก็ปลูกพลับพลาประทับร้อน ประทับแรม แลคอยรับส่งเสด็จตลอดเขตต์ของตนทุกแห่ง เสด็จถึงเชียงใหม่วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๒ รวมเวลา ๒ เดือน ๙ วันพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพกับเจ้าแก้วนวรัฐ ฯ เมื่อยังเป็นเจ้าอุปราช พร้อมด้วยเจ้านายข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน ตลอดถึงอำเภอทุกอำเภอ พ่อค้าคหบดี ชาวต่างประเทศ ต่างจัดขบวนแห่ของตน ๆ มีตำรวจ ทหารและข้าราชการขี่ม้าเข้าแถวนำ กับแต่งเป็นภาพต่าง ๆ มีภาพคนสมัยโบราณ คนป่า เรื่องชาดก รามเกียรติ์ เช่นเรื่องพญามังราย ละวะ เจ้าหงส์หิน พระลักษมณ์ พระราม พระเวสสันดร เมขลาล่อแก้ว กลองชนะ กลองสบัดไชย แตรวง กลองเมือง กลองมองเซิง อุเจ่ กลองพะม่า ล่อโก๊ ฯลฯ ตั้ง ๑๐ ขบวน ตั้งขบวนแห่จากที่ทำการป่าไม้ภาคเชียงใหม่ มาตามถนนเจริญประเทศ เลี้ยวถนนท่าแพ และถนนพระปกเกล้า ฯ ออกประตูช้างเผือก เลี้ยวถนนเชียงยืน มาถนนราชวงศ์ เลี้ยวถึงที่ประทับณคุ้มหลวงเดี๋ยวนี้ ซึ่งจัดเป็นข้างหน้าข้างในอย่างมิดชิด ผู้ ใดจะเข้าเฝ้าต้องมีสนม กรมวัง กำกับทำนองเดียวกับในพระบรมมหาราชวัง มีทหารกองเกียรติยศประจำหน้าที่ประทับ เวลาเสด็จผ่าน ทหารเป่าแตรถวายคำนับทุกครั้ง วันเสด็จถึงข้าราชการแต่งเต็มยศขาว
ในตอนนี้ยังไม่จบครับยังทรงเสด็จไปอีกหลายแห่งซึ่งจะนำเสนอในตอนต่อไปครับ
ตอนที่ ๔ หน้าที่ ๔ ถึงหน้า ๖
เสด็จกลับมาเยี่ยมเชียงใหม่ครั้งแรก
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ เมื่อพระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ลงไปเฝ้าทุลละอองธุลีพระบาท เป็นโอกาสเหมาะพระองค์ จึงได้กราบถวายบังคมลาขึ้นมาพร้อมกับเจ้าอินทวโรรส ฯ เพื่อเยี่ยมเยียนมาตุภูมิและประยูรญาติ โดยได้ นิราศไปเป็นเวลาถึง ๒๑ ปี โปรดเกล้า ฯ ให้มีสนม กรมวัง พระตำรวจ คุณท้าว เฒ่าแก่ จ่าโขลนตามเสด็จและพระราชทานวอช่อฟ้ากับพระกรดเป็นเกียรติยศ พระตำรวจเอกและนายพลตรี พระอนุชิตชาญไชย (สาย สิงหเสนี) เป็นพระอภิบาลกำกับการทั่วไป ก่อนที่จะเสด็จก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีการพระราชทานเลี้ยงส่งณพระที่นั่งอัมพรสถาน แล้วเสด็จไปทอดพระเนตร์ละครปรีดาลัย
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๑ เสด็จจากพระราชวังดุสิตเสด็จขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสน พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพร้อมด้วยพระบรมวงสานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ตลอดถึงข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยได้เสด็จและมาส่งยังสถานีเป็นอันมาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงหาดไทย กับพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นสรรควิสัยนรบดี เสด็จส่งถึงปากน้ำโพ ซึ่งเป็นที่สุดของทางรถไฟเวลานั้น แล้วลงประทับเรือที่นั่งเก๋งประพาส มีเรือแม่ปะ สีดอ ชะล่า กว่า ๕๐ ลำ ปักธงทิวเป็นขบวนรอนแรมตามชลมารควิถี เมื่อผ่านเขตต์อำเภอ จังหวัด มณฑลใด เจ้าหน้าที่นั้น ๆ ก็ปลูกพลับพลาประทับร้อน ประทับแรม แลคอยรับส่งเสด็จตลอดเขตต์ของตนทุกแห่ง เสด็จถึงเชียงใหม่วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๒ รวมเวลา ๒ เดือน ๙ วันพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพกับเจ้าแก้วนวรัฐ ฯ เมื่อยังเป็นเจ้าอุปราช พร้อมด้วยเจ้านายข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือน ตลอดถึงอำเภอทุกอำเภอ พ่อค้าคหบดี ชาวต่างประเทศ ต่างจัดขบวนแห่ของตน ๆ มีตำรวจ ทหารและข้าราชการขี่ม้าเข้าแถวนำ กับแต่งเป็นภาพต่าง ๆ มีภาพคนสมัยโบราณ คนป่า เรื่องชาดก รามเกียรติ์ เช่นเรื่องพญามังราย ละวะ เจ้าหงส์หิน พระลักษมณ์ พระราม พระเวสสันดร เมขลาล่อแก้ว กลองชนะ กลองสบัดไชย แตรวง กลองเมือง กลองมองเซิง อุเจ่ กลองพะม่า ล่อโก๊ ฯลฯ ตั้ง ๑๐ ขบวน ตั้งขบวนแห่จากที่ทำการป่าไม้ภาคเชียงใหม่ มาตามถนนเจริญประเทศ เลี้ยวถนนท่าแพ และถนนพระปกเกล้า ฯ ออกประตูช้างเผือก เลี้ยวถนนเชียงยืน มาถนนราชวงศ์ เลี้ยวถึงที่ประทับณคุ้มหลวงเดี๋ยวนี้ ซึ่งจัดเป็นข้างหน้าข้างในอย่างมิดชิด ผู้ ใดจะเข้าเฝ้าต้องมีสนม กรมวัง กำกับทำนองเดียวกับในพระบรมมหาราชวัง มีทหารกองเกียรติยศประจำหน้าที่ประทับ เวลาเสด็จผ่าน ทหารเป่าแตรถวายคำนับทุกครั้ง วันเสด็จถึงข้าราชการแต่งเต็มยศขาว
ในตอนนี้ยังไม่จบครับยังทรงเสด็จไปอีกหลายแห่งซึ่งจะนำเสนอในตอนต่อไปครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)