ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554
MUSEUM BENJAPON: พระราชพิธีเดือนยี่
MUSEUM BENJAPON: พระราชพิธีเดือนยี่: " พระราชพิธีเดือนยี่(ใต้) หรือเดือนสองในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพระราชพิธีที่ค่อนข้างยืดยาวเช่นการพระราชพิ..."
พระราชพิธีเดือนยี่
พระราชพิธีเดือนยี่(ใต้) หรือเดือนสองในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการพระราชพิธีที่ค่อนข้างยืดยาวเช่นการพระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ซึ่งคงต้องใช้เวลานำเสนอเป็นหลายตอน ซึ่งจะนำเสนอต่อไป วันนี้จะนำเสนอพระราชพิธีเดือนยี่ หน้าที่ ๗๖ ดังนี้
การพระราชพิธีในเดือนยี่นี้ คงนับพระราชพิธีบุษยาภิเศก
มาไว้ เพราะเหตุผลอันได้กล่าวไว้แล้วในเดือนอ้าย ในคำให้การ
ขุนหลวงหาวัดได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินเสด็จขึ้นประทับบน
กองดอกไม้เจ็ดสีแล้วจำเริญพระนขา พราหมณ์ทั้ง ๘ คนถวายพร
แต่ในคำที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรม
สมเด็จพระบำราบปรปักษ์ ทรงเล่าให้ฟังนั้น ว่าทำเปนมณฑป
ดอกไม้สด พระเจ้าแผ่นดินทรงเครื่องถอดอย่างสรงมุรธาภิเศก
ประทับในมณฑปดอกไม้สดนั้นแล้วสรงมุรธาภิเศก เมื่อสอบกับ
กฎมณเฑียรบาลในการพระราชพิธีบุษยาภิเศกนี้ ก็ไม่ได้กล่าว
พิศดารในที่แห่งใด แต่ไปสมกันกับคำที่กล่าวว่าสรงมุรธาภิเศก
นี้อยู่แห่งหนึ่ง ในจำนวนพระราชพิธีมีสนาน ๑๗ อย่าง มีชื่อ
บุษยาภิเศกในจำนวนนั้นด้วย จะหาข้อความให้ลเอียดขึ้นไปกว่า
นี้ไม่ได้ ด้วยเปนพระราชพิธีโพยมบานอย่างเขื่อง เหมือนพิธี
เฉวียนพระโคกินเลี้ยงจึงได้สูญเร็ว ฯ
ในพระราชนิพนธ์นี้ทรงตรัสว่าเป็นพระราชพิธีที่ไม่มีทำกันแล้วในจึงไม่มีรายละเอียดมากครับซึ่งในความคิดส่วนตัวฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแห่งดอกไม้บานและสวยงามซึ่งเหมาะกับพระราชพิธีซึ่งตั้งแต่ในอดีตมานั้นพระราชพิธีต่าง ๆ มักขึ้นกับฤดูกาลที่เหมาะสมถือเป็นภูมิปัญญาขั้นสูงของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยแต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงไปอาจด้วยพระราชภาระกิจที่มีมากขึ้นทำให้พระราชพิธีบางพระราชพิธีสูญหายไปครับ.
การพระราชพิธีในเดือนยี่นี้ คงนับพระราชพิธีบุษยาภิเศก
มาไว้ เพราะเหตุผลอันได้กล่าวไว้แล้วในเดือนอ้าย ในคำให้การ
ขุนหลวงหาวัดได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินเสด็จขึ้นประทับบน
กองดอกไม้เจ็ดสีแล้วจำเริญพระนขา พราหมณ์ทั้ง ๘ คนถวายพร
แต่ในคำที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรม
สมเด็จพระบำราบปรปักษ์ ทรงเล่าให้ฟังนั้น ว่าทำเปนมณฑป
ดอกไม้สด พระเจ้าแผ่นดินทรงเครื่องถอดอย่างสรงมุรธาภิเศก
ประทับในมณฑปดอกไม้สดนั้นแล้วสรงมุรธาภิเศก เมื่อสอบกับ
กฎมณเฑียรบาลในการพระราชพิธีบุษยาภิเศกนี้ ก็ไม่ได้กล่าว
พิศดารในที่แห่งใด แต่ไปสมกันกับคำที่กล่าวว่าสรงมุรธาภิเศก
นี้อยู่แห่งหนึ่ง ในจำนวนพระราชพิธีมีสนาน ๑๗ อย่าง มีชื่อ
บุษยาภิเศกในจำนวนนั้นด้วย จะหาข้อความให้ลเอียดขึ้นไปกว่า
นี้ไม่ได้ ด้วยเปนพระราชพิธีโพยมบานอย่างเขื่อง เหมือนพิธี
เฉวียนพระโคกินเลี้ยงจึงได้สูญเร็ว ฯ
ในพระราชนิพนธ์นี้ทรงตรัสว่าเป็นพระราชพิธีที่ไม่มีทำกันแล้วในจึงไม่มีรายละเอียดมากครับซึ่งในความคิดส่วนตัวฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแห่งดอกไม้บานและสวยงามซึ่งเหมาะกับพระราชพิธีซึ่งตั้งแต่ในอดีตมานั้นพระราชพิธีต่าง ๆ มักขึ้นกับฤดูกาลที่เหมาะสมถือเป็นภูมิปัญญาขั้นสูงของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยแต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงไปอาจด้วยพระราชภาระกิจที่มีมากขึ้นทำให้พระราชพิธีบางพระราชพิธีสูญหายไปครับ.
MUSEUM BENJAPON: ระลึกถึง เพลงเก่า ๆ
MUSEUM BENJAPON: ระลึกถึง เพลงเก่า ๆ: " เมื่อคืนนี้ผมนั่งที่หน้าต่างบ้านเพียงคนเดียวมองออกไปริมฝั่งแม่ปิงบนสะพานนวรัฐมีคนมากมายกำลังมายืนที่บนสะพานเพื่อรอชมการจุดพลุเฉ..."
ระลึกถึง เพลงเก่า ๆ
เมื่อคืนนี้ผมนั่งที่หน้าต่างบ้านเพียงคนเดียวมองออกไปริมฝั่งแม่ปิงบนสะพานนวรัฐมีคนมากมายกำลังมายืนที่บนสะพานเพื่อรอชมการจุดพลุเฉลิมฉลองปีใหม่ ผมเปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วย พอถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีการจุพลุอย่างสวยงามด้านฝั่งตะวันตกแม่น้ำปิงทั่วทั้งเมืองเป็นภาพที่สวยงาม และขณะเดียวกันหูผมก็ได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะคุ้นหูซึ่งปีหนึ่งจะได้ยินสักครั้ง โดยเริ่มเนื้อเพลงว่า วันนี้วันดีปีใหม่ ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์ ฯ ผมร้องตามไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าด้วยความสุขระคนความปิติยินดี ช่างเป็นเวลาที่มีความสุขแม้ว่าผมจะนั่งอยู่เพียงคนเดียวก็ตาม ความหมายของเพลงทำให้ผมมีพลังขึ้นมาอย่างหน้าประหลาด มีกำลังใจจะต่อสู้ไปในโลก นี้ ใครหนอช่างเป็นคนรังสรรค์เพลงอันมีคุณค่าเช่นนี้ ผมหวนคิด
ผมละสายตาจากพลุอันสว่างไสวแสนงาม ตรงไปที่ตู้หนังสือค้นหาหนังสือเพลงเล่มเก่าที่กระดาษเหลือกรอบปกหน้าปกหลังไม่มีแล้ว ค่อย ๆ บรรจงเปิด ค้นหา เพื่อจะได้เนื้อเพลงอันไพเราะกินใจนี้ ผมเปิดไปจนกลางเล่มจึงพบ เพลงที่ผมหาอยู่ ชื่อว่า รำวง รื่นเริงเถลิงศก โดยครูเอื้อ สุนทรสนาน และคุณแก้วอัจฉริยะกุล ผมจึงนำเนื้อเพลงมาเสนอ กับท่านกับเพลงอัน
อมตะเพลงนี้
วันนี้วันดีปีใหม่
ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์
ยิ้มให้กันในวันปีใหม่
โกรธเคืองเรื่องใดจงอภัยให้กัน
หมดสิ้นกันทีปีเก่า
เรื่องทุกข์เรื่องเศร้าอย่าเขลาคิดมัน
ตั้งต้นชิวิตกันใหม่
ให้มันสดใส สุขใหม่ทั่วกัน เฮ...สุขใหม่
รื่นเริงเถลิงศกใหม่ (ซ้ำ)
ร่วมจิตร่วมใจทำบุญร่วมกัน
ทำบุญการตามประเพณี
กุศลราศรีจะบรรเจิดเฉิดฉันท์
พี่น้องร่วมชาติเดียวกัน (ซ้ำ)
ขอให้สุขสันต์ทั่วกันเอย .....นอย.......
ช่างเป็นเนื้อเพลงที่ไพเราะกินใจอย่างมากมายในทุกประโยคที่รังสรรด้วยความหมายอันงดงามผมจึงถือโอกาสนี้มอบเพลงนี้เป็นของขวัญและเป็นกำลังใจให้เพื่อนที่ติดตามบล็อกของผมและชาวไทยทุกท่านและเพื่อนทุกคนบนโลกด้วยความรักและปราถนาดี ขอปีนี้ทุกคนรักกันและให้เป็นไปตามเนื้อเพลงนี้น่ะครับขอบคุณครับ สวัสดีปีใหม่ครับ
ผมละสายตาจากพลุอันสว่างไสวแสนงาม ตรงไปที่ตู้หนังสือค้นหาหนังสือเพลงเล่มเก่าที่กระดาษเหลือกรอบปกหน้าปกหลังไม่มีแล้ว ค่อย ๆ บรรจงเปิด ค้นหา เพื่อจะได้เนื้อเพลงอันไพเราะกินใจนี้ ผมเปิดไปจนกลางเล่มจึงพบ เพลงที่ผมหาอยู่ ชื่อว่า รำวง รื่นเริงเถลิงศก โดยครูเอื้อ สุนทรสนาน และคุณแก้วอัจฉริยะกุล ผมจึงนำเนื้อเพลงมาเสนอ กับท่านกับเพลงอัน
อมตะเพลงนี้
วันนี้วันดีปีใหม่
ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์
ยิ้มให้กันในวันปีใหม่
โกรธเคืองเรื่องใดจงอภัยให้กัน
หมดสิ้นกันทีปีเก่า
เรื่องทุกข์เรื่องเศร้าอย่าเขลาคิดมัน
ตั้งต้นชิวิตกันใหม่
ให้มันสดใส สุขใหม่ทั่วกัน เฮ...สุขใหม่
รื่นเริงเถลิงศกใหม่ (ซ้ำ)
ร่วมจิตร่วมใจทำบุญร่วมกัน
ทำบุญการตามประเพณี
กุศลราศรีจะบรรเจิดเฉิดฉันท์
พี่น้องร่วมชาติเดียวกัน (ซ้ำ)
ขอให้สุขสันต์ทั่วกันเอย .....นอย.......
ช่างเป็นเนื้อเพลงที่ไพเราะกินใจอย่างมากมายในทุกประโยคที่รังสรรด้วยความหมายอันงดงามผมจึงถือโอกาสนี้มอบเพลงนี้เป็นของขวัญและเป็นกำลังใจให้เพื่อนที่ติดตามบล็อกของผมและชาวไทยทุกท่านและเพื่อนทุกคนบนโลกด้วยความรักและปราถนาดี ขอปีนี้ทุกคนรักกันและให้เป็นไปตามเนื้อเพลงนี้น่ะครับขอบคุณครับ สวัสดีปีใหม่ครับ
MUSEUM BENJAPON: พระราชพิธีเดือนอ้าย
MUSEUM BENJAPON: พระราชพิธีเดือนอ้าย: " ในวาระดีถีข้นปีใหม่ขอพรใดอันประเสริฐบนโลกหล้าเป็นของท่านตลอดปีใหม่และตลอดไปด้วยครับ ก่อนอื่นต้องขอกราบขออภัยท่านที่ติดตามการนำเสนอของผ..."
พระราชพิธีเดือนอ้าย
ในวาระดีถีข้นปีใหม่ขอพรใดอันประเสริฐบนโลกหล้าเป็นของท่านตลอดปีใหม่และตลอดไปด้วยครับ ก่อนอื่นต้องขอกราบขออภัยท่านที่ติดตามการนำเสนอของผมในบล็อกนี้ที่ขาดหายไปสิบกว่าวันอันเนื่องด้วยงานที่เข้ามาอย่างมากมายทำให้เหนื่อยจนเมื่อถึงบ้านอาบน้ำหัวถึงหมอนก็หลับไปตอนเช้าก็ต้องรีบไปทำงานตามหน้าที่เป็นอย่างนี้ทุกวันจนถึงสิ้นปีนี้แหล่ะครับ ต่อไปนี้คงจะมีเวลาเพราะงานต่าง ๆ ฝ่านพ้นไป และผมกำลังจัดการเรื่อง มิวเซียมที่จะทำที่บ้านคงเสร็จและเปิดเป็นทางการในกลางเดือนกุมภา ฯ นี้ครับ วันนี้ผมจึงนำพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระราชพิธีสิบสองเดือนมาให้ท่านได้รับทราบต่อไปครับ หน้าที่ ๗๑ ถึงหน้าที่ ๗๕
พระราชกุศลเทศนามหาชาติ
มีการพระราชกุศลในเดือนอ้านนี้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเปน
การประจำปีอยู่ แต่เปนการซึ่งเลื่อน ๆ มา มิใช่แบบกำหนด คือ
เทศมหาชาติ
เทศนาสำหรับแผ่นดิน เปนพระราชกุศลนิจสมัยมีมาแต่เดิม
นั้น ๓๓ กัณฑ์ ซึ่งมีกำหนดเครื่องกัณฑ์คล้ายบริขารกฐิน คือ
ผ้าไตรแพร เงิน ๑๐ ตำลึง ขนมต่าง ๆ ดังเช่นกล่าวมาในเทศนา
เดือน ๑๒ นั้น ธรรมเนียมแต่เดิมเคยเปนเทศนามหาชาติ ๒ จบ
๒๖ กัณฑ์ อริยสัจ ๔ กัณฑ์ เดือนสิบสอง ๓ กัณฑ์ รวมเปนเทศนา
วิเศษสำหรับแผ่นดิน ๓๓ กัณฑ์
ในรัชกาล ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ในเดือนสิบเอ็ดวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
มีมหาชาติ แรมค่ำ ๑ มีอริยสัจ ครบทั้ง ๓๐ กันฑ์ เมื่อเทศนา
จบแล้วจึ่งเสด็จลงลอยพระประทีป แต่รัชกาลที่ ๓ นั้น ถ้าปีใด
มีพระองค์เจ้าหม่อมเจ้าทรงผนวชเปนภิกษุแลสามเณรมาก ปีนั้น
ก็มีมหาชาติ ปีใดไม่ใคร่มีพระองค์เจ้าแลหม่อมเจ้าทรงผนวช
ก็เปลี่ยนเทศนาปฐมสมโพธิแบ่งวันละ ๑๐ กัณฑ์ ครั้นมาในแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลางเดือนสิบเอ็ดต้องกับ
การฉลองพระพุทธรูปพระชนม์พรรษา ซึ่งทรงทำการเติมขึ้น ใน
เมื่อรัชการที่ ๓ แรกมีพระพุทธรูปประจำพระชนม์พรรษานั้น เคย
ฉลองในวันเดือน ๕ ขึ้นค่ำ ๑ ด้วยวันเฉลิมพระชนม์พรรษาในรัชกาล
ที่ ๓ นั้น คงตกอบู่ในเดือน ๔ ข้างแรมเดือน ๕ ข้างขึ้น พระพุทธ
รูปหล่อในเดือน ๔ ข้างขึ้น ถึงเดือน ๕ ขึ้นค่ำ ๑ ก็ได้ฉลองทุกปี ครั้น
มาถึงในรัชการที่ ๔ วันประสูตรเดิมอยู่ในเดือน ๑๑ จึงได้โปรด
ให้เลื่อนการหล่อพระชนม์พรรษามาหล่อในเดือน ๑๐ การฉลอง
พระชนม์พรรษา จึงได้มาฉลองในเดือนสิบเอ็ดขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เทศนามหาชาติก็ต้องเลื่อนไป มีเทศนา
วิเศษเปลี่ยนแทนวันละกัณฑ์ การเทศนามหาชาตินั้นคงไปตก
อยู่ในเดือน ๑๒ ข้างขึ้นบ้าง ข้างแรมบ้าง ไม่กำหนดแน่ แต่มัก
จะโปรดให้มีแต่จบเดียว แล้วมีอริยสัจรวมเปน ๑๗ กัณฑ์ ยกมหา
ชาติ ๑๓ กัณฑ์นั้นไปเปนเทศน์วิเศษ ในกลางเดือนสิบเอ็ด ๓ กัณฑ์
ในการเฉลิมพระชนม์พรรษา ๔ กัณฑ์ ยังคงเหลือเทศน์วิเศษอยู่
อีก ๖ กัณฑ์ ไว้สำหรับรายใช้ไปในการพระราชกุศลต่าง ๆ ไม่ให้
ต่ำกว่าจำนวนเดิม ๓๓ กัณฑ์ ถ้าบางปีมีเจ้าพระเจ้าเณรบ้าง อย่าง
เช่นปีข้าพเจ้าบวชก็มีมหาชาติ ๒ จบเต็ม ๓๐ กัณฑ์บ้าง ถ้าเปนเช่น
นั้นเทศน์วิเศษก็คงเปนอันเติมขึ้นอีก ๘ กัณฑ์ รวมเปน ๔๐ กัณฑ์
แต่ครั้นตกมาถึงแผ่นดินประจุบันนี้ ถ้าว่าการฉลองพระพุทธรูป
พระชนม์พรรษาไม่ตกเดือนสิบเอ็ดก็จริง แต่ต้องทำบุญวันประสูตร
วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกลางเดือน
สิบเอ็ด จึงเลื่อนมหาชาติมามีตามเดิมไม่ได้ ยังซ้ำเดือนสิบสอง
เมื่อเลื่อนฉัตรมงคลมาทำในเดือนสิบสอง ก็ทำให้การในเดือน
สิบสองมากจนไม่ใคร่มีเวลาว่าง เทศนามหาชาติจึงต้องเลื่อนต่อไป
เดือนอ้าย ซึ่งเปนเดือนว่าง แต่ถึงกระนั้นก็ถูกคราวเสด็จหัวบ้าน
หัวเมืองเสียไม่ได้มีเนือง ๆ แลเจ้านายที่ทรงผนวชก็ไม่ใคร่มีใคร
อยู่ถึงเดือนอ้าย จึ่งไม่ชวนจะให้มีด้วย เพราะฉนั้นเทศน์มหาชาติ
จึ่งได้มีบ้างไม่ได้มีบ้าง บางปีก็มี ๒ จบ บางปีมีจบเดียว สุดแท้
แต่มีเวลาพอสมควรเท่าใด แต่มีจบเดียวโดยมาก
การเทศนามหาชาติแต่ใน ๓ รัชกาลก่อนนั้น เทศน์บนพระ
ที่นั่งเสวตรฉัตร ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแห่งเดียว ยกไว้
แต่มีพระบรมศพอยู่บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จึ่งได้ยกขึ้น
ไปเทศนาบนพระแท่นมุก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่ใน
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เคยยกไปมีที่
พระที่นั่งอนันตสมาคม แต่แรกข้างในฟังไม่ได้ยิน จึงได้
ย้ายเข้าไปมีที่พระที่นั่งทรงธรรมข้างใน ข้าราชการที่เข้าไปใน
การเทศนานั้น เฉภาะแต่เจ้านาย เจ้าพนักงานกรมพระตำรวจ
แลมหาดเล็ก บนพระที่นั่งทรงธรรมเปนข้างในฟังทั้งสิ้น ครั้น
แผ่นดินประจุบันนี้ย้ายกลับมาเทศน์ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยไปตามเดิม เพราะเสด็จอยู่ทางนี้ เมื่อพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยต้อง
ซ่อมแซมใหม่ จึงได้ยกมาเทศน์ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
การตกแต่งเครื่องบูชาเทศนานั้น แบบที่พระที่นั่งอมรินทร
วินิฉัย หลังพระที่นั่งเสวตรฉัตรผูกกิ่งไม้ มีดอกไม้ร้อยห้อยย้อย
เปนพวงภู่ผูกตามกิ่งไม้ทั่วไป บนพระแท่นถมตั้งพานพุ่มดอกไม้
พานทองสองชั้นขนาดใหญ่ขนาดเล็กเรียงสองแถว ตระบะถมตั้ง
หญ้าแพรก เข้าตอก ดอกมลิ ถั่ว งา แลมีพานเครื่องทองน้อย
แก้วห้าสำรับ ตั้งตะเกียงแก้วแซกตามระหว่างเครื่องทองน้อย
ตรงน่าพระที่นั่งเสวตรฉัตรออกไป ตั้งหมากพนมพานทองมหากฐิน
สองพาน หมาพนมใหญ่พานแว่นฟ้าสองพาน แล้วพานนี้เปลี่ยน
เปนโคมเวียน มีต้นไม้เงินทองตั้งรายสองแถว กระถางต้นไม้ดัด
ลายคราม โคมพโอมแก้วรายตลอดทั้งสองข้าง น่าแถวมีกรงนก
คิรีบูน ซึ่งติดกับหม้อแก้วเลี้ยงปลาทองตั้งปิดช่องกลาง ปลาย
แถวตั้งขันเทียนคาถาพัน ตามตะเกียงกิ่งที่เสาแขวนฉากเทศน์
ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ น่าท้องพระโรงมีซุ้มตะเกียง ๔ ซุ้ม มีราชวัตรฉัตร
ธงผูกต้นกล้วยต้นอ้อยตามธรรมเนียม เล่ากันว่าเมื่อแผ่นดินพระ
บาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย เปนเวลาเล่นเครื่องแก้วกำลัง
มีราคามากนั้น ในห้องฉากซึ่งเปนที่ประทับในพระเฉลียงพระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัยนี้ ตั้งเครื่องแก้วเปนเครื่องนมัสการโต๊ะหมู่ แลมี
เครื่องประดับต่าง ๆงดงามยิ่งนัก เจ้านายข้าราชการฝ่ายในก็มี
ตระบะเครื่องบูชาเปนเครื่องแก้ว เครื่องทอง เครื่องถม ประกวด
ประขันกันเปนการสนุกสนานมาก แต่ชั้นหลังมานี้ ในพระฉาก
มีแต่เครื่องนมัสการแก้วโต๊ะประดับกระจกสำรับเดียวเท่านั้น แต่
เจ้านายข้าราขการฝ่ายในยังมีเครื่องบูชา ชั้นแก่ ๆ จึงใช้ตระบะ
อย่างเก่า ๆ ชั้นสาว ๆ ก็เปนพานย่อ ๆ ลงไป เล่นแต่สีดอก
ไม้ดอกไหล้ ไม่แขงแรงเหมือนอย่งแต่ก่อน แต่ถ้าเทศน์ที่พระ
ที่นั่งทรงธรรม จัดม้าหมู่ตรงน่าธรรมาศน์ มีเครื่องแก้วต่าง ๆ ฝรั่ง
บ้างจีนบ้างมากว่าที่เทศน์ท้องพระโรง แต่ยกต้นไม้เงินทอง ใช้
ตั้งต้นไม้สดรายออกไปถึงที่ตั้งเครื่องกัณฑ์
ในเทศนามหาชาติหลวง ได้มีเปนการใหญ่ ในแผ่นดินพระ
บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ เกณฑ์พระบรมวงษานุวงศ์
ข้าราชการ ทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศนาคราวหนึ่ง มาเมื่อ
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าบวชเปน
เณรได้ถวายเทศน์ มีกระจาดใหญ่เปนรูปเรือสำเภา ทำที่น่าพระ
ที่นั่งสุทไธสวรรย์เปนกัณฑ์เฉภาะตัวคนเดียวคราวหนึ่ง
ธรรมเนียมเสด็จออกมหาชาติ กัณฑ์แรกทศพร เจ้ากรม
ปลัดกรมพระตำรวจต้องนำตะเกียงที่ซุ้มเข้ามาถวายทรงจุดซุ้มละ
ตะเกียง ต่อไปไม่ต้องถวายอีก มหาดเล็กต้องคอยเปลี่ยนเทียน
เครื่องนมัสการ ในเวลาที่เสด็จไปทรงประเคนเครื่องกัณฑ์ให้แล้ว
เสร็จ ทันเสด็จกลับมาประทับทุกครั้ง เวลาจุดเทียนแล้วต้อง
รับเทียนประจำกัณฑ์ แลเทียนคาถาพันทุกคราว ไม่มีเวลายกเว้น
นอกนั้นไม่มีการอันใดซึ่งจะต้องขาดเหลือ ฯ
ทั้งหมดเปนรายละเอียดในพระราชกุศลเทศมหาชาติ ที่ล้นเกล้ารัชการที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้อย่างละเอียดทั้งประวัติการมีพระราชกุศลตั้งแต่ในรัชการที่ ๑ ถึง รัชกาลของพระองค์ เครื่องใช้ประกอบพระราชกุศล และการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชบริพาน อย่างละเอียด ทำให้ได้ทราบถึงธรรมเนียมปฎิบัติในแต่ละรัชการอีกด้วยครับ.
พระราชกุศลเทศนามหาชาติ
มีการพระราชกุศลในเดือนอ้านนี้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเปน
การประจำปีอยู่ แต่เปนการซึ่งเลื่อน ๆ มา มิใช่แบบกำหนด คือ
เทศมหาชาติ
เทศนาสำหรับแผ่นดิน เปนพระราชกุศลนิจสมัยมีมาแต่เดิม
นั้น ๓๓ กัณฑ์ ซึ่งมีกำหนดเครื่องกัณฑ์คล้ายบริขารกฐิน คือ
ผ้าไตรแพร เงิน ๑๐ ตำลึง ขนมต่าง ๆ ดังเช่นกล่าวมาในเทศนา
เดือน ๑๒ นั้น ธรรมเนียมแต่เดิมเคยเปนเทศนามหาชาติ ๒ จบ
๒๖ กัณฑ์ อริยสัจ ๔ กัณฑ์ เดือนสิบสอง ๓ กัณฑ์ รวมเปนเทศนา
วิเศษสำหรับแผ่นดิน ๓๓ กัณฑ์
ในรัชกาล ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ในเดือนสิบเอ็ดวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
มีมหาชาติ แรมค่ำ ๑ มีอริยสัจ ครบทั้ง ๓๐ กันฑ์ เมื่อเทศนา
จบแล้วจึ่งเสด็จลงลอยพระประทีป แต่รัชกาลที่ ๓ นั้น ถ้าปีใด
มีพระองค์เจ้าหม่อมเจ้าทรงผนวชเปนภิกษุแลสามเณรมาก ปีนั้น
ก็มีมหาชาติ ปีใดไม่ใคร่มีพระองค์เจ้าแลหม่อมเจ้าทรงผนวช
ก็เปลี่ยนเทศนาปฐมสมโพธิแบ่งวันละ ๑๐ กัณฑ์ ครั้นมาในแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลางเดือนสิบเอ็ดต้องกับ
การฉลองพระพุทธรูปพระชนม์พรรษา ซึ่งทรงทำการเติมขึ้น ใน
เมื่อรัชการที่ ๓ แรกมีพระพุทธรูปประจำพระชนม์พรรษานั้น เคย
ฉลองในวันเดือน ๕ ขึ้นค่ำ ๑ ด้วยวันเฉลิมพระชนม์พรรษาในรัชกาล
ที่ ๓ นั้น คงตกอบู่ในเดือน ๔ ข้างแรมเดือน ๕ ข้างขึ้น พระพุทธ
รูปหล่อในเดือน ๔ ข้างขึ้น ถึงเดือน ๕ ขึ้นค่ำ ๑ ก็ได้ฉลองทุกปี ครั้น
มาถึงในรัชการที่ ๔ วันประสูตรเดิมอยู่ในเดือน ๑๑ จึงได้โปรด
ให้เลื่อนการหล่อพระชนม์พรรษามาหล่อในเดือน ๑๐ การฉลอง
พระชนม์พรรษา จึงได้มาฉลองในเดือนสิบเอ็ดขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เทศนามหาชาติก็ต้องเลื่อนไป มีเทศนา
วิเศษเปลี่ยนแทนวันละกัณฑ์ การเทศนามหาชาตินั้นคงไปตก
อยู่ในเดือน ๑๒ ข้างขึ้นบ้าง ข้างแรมบ้าง ไม่กำหนดแน่ แต่มัก
จะโปรดให้มีแต่จบเดียว แล้วมีอริยสัจรวมเปน ๑๗ กัณฑ์ ยกมหา
ชาติ ๑๓ กัณฑ์นั้นไปเปนเทศน์วิเศษ ในกลางเดือนสิบเอ็ด ๓ กัณฑ์
ในการเฉลิมพระชนม์พรรษา ๔ กัณฑ์ ยังคงเหลือเทศน์วิเศษอยู่
อีก ๖ กัณฑ์ ไว้สำหรับรายใช้ไปในการพระราชกุศลต่าง ๆ ไม่ให้
ต่ำกว่าจำนวนเดิม ๓๓ กัณฑ์ ถ้าบางปีมีเจ้าพระเจ้าเณรบ้าง อย่าง
เช่นปีข้าพเจ้าบวชก็มีมหาชาติ ๒ จบเต็ม ๓๐ กัณฑ์บ้าง ถ้าเปนเช่น
นั้นเทศน์วิเศษก็คงเปนอันเติมขึ้นอีก ๘ กัณฑ์ รวมเปน ๔๐ กัณฑ์
แต่ครั้นตกมาถึงแผ่นดินประจุบันนี้ ถ้าว่าการฉลองพระพุทธรูป
พระชนม์พรรษาไม่ตกเดือนสิบเอ็ดก็จริง แต่ต้องทำบุญวันประสูตร
วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกลางเดือน
สิบเอ็ด จึงเลื่อนมหาชาติมามีตามเดิมไม่ได้ ยังซ้ำเดือนสิบสอง
เมื่อเลื่อนฉัตรมงคลมาทำในเดือนสิบสอง ก็ทำให้การในเดือน
สิบสองมากจนไม่ใคร่มีเวลาว่าง เทศนามหาชาติจึงต้องเลื่อนต่อไป
เดือนอ้าย ซึ่งเปนเดือนว่าง แต่ถึงกระนั้นก็ถูกคราวเสด็จหัวบ้าน
หัวเมืองเสียไม่ได้มีเนือง ๆ แลเจ้านายที่ทรงผนวชก็ไม่ใคร่มีใคร
อยู่ถึงเดือนอ้าย จึ่งไม่ชวนจะให้มีด้วย เพราะฉนั้นเทศน์มหาชาติ
จึ่งได้มีบ้างไม่ได้มีบ้าง บางปีก็มี ๒ จบ บางปีมีจบเดียว สุดแท้
แต่มีเวลาพอสมควรเท่าใด แต่มีจบเดียวโดยมาก
การเทศนามหาชาติแต่ใน ๓ รัชกาลก่อนนั้น เทศน์บนพระ
ที่นั่งเสวตรฉัตร ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยแห่งเดียว ยกไว้
แต่มีพระบรมศพอยู่บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จึ่งได้ยกขึ้น
ไปเทศนาบนพระแท่นมุก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่ใน
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เคยยกไปมีที่
พระที่นั่งอนันตสมาคม แต่แรกข้างในฟังไม่ได้ยิน จึงได้
ย้ายเข้าไปมีที่พระที่นั่งทรงธรรมข้างใน ข้าราชการที่เข้าไปใน
การเทศนานั้น เฉภาะแต่เจ้านาย เจ้าพนักงานกรมพระตำรวจ
แลมหาดเล็ก บนพระที่นั่งทรงธรรมเปนข้างในฟังทั้งสิ้น ครั้น
แผ่นดินประจุบันนี้ย้ายกลับมาเทศน์ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยไปตามเดิม เพราะเสด็จอยู่ทางนี้ เมื่อพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยต้อง
ซ่อมแซมใหม่ จึงได้ยกมาเทศน์ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
การตกแต่งเครื่องบูชาเทศนานั้น แบบที่พระที่นั่งอมรินทร
วินิฉัย หลังพระที่นั่งเสวตรฉัตรผูกกิ่งไม้ มีดอกไม้ร้อยห้อยย้อย
เปนพวงภู่ผูกตามกิ่งไม้ทั่วไป บนพระแท่นถมตั้งพานพุ่มดอกไม้
พานทองสองชั้นขนาดใหญ่ขนาดเล็กเรียงสองแถว ตระบะถมตั้ง
หญ้าแพรก เข้าตอก ดอกมลิ ถั่ว งา แลมีพานเครื่องทองน้อย
แก้วห้าสำรับ ตั้งตะเกียงแก้วแซกตามระหว่างเครื่องทองน้อย
ตรงน่าพระที่นั่งเสวตรฉัตรออกไป ตั้งหมากพนมพานทองมหากฐิน
สองพาน หมาพนมใหญ่พานแว่นฟ้าสองพาน แล้วพานนี้เปลี่ยน
เปนโคมเวียน มีต้นไม้เงินทองตั้งรายสองแถว กระถางต้นไม้ดัด
ลายคราม โคมพโอมแก้วรายตลอดทั้งสองข้าง น่าแถวมีกรงนก
คิรีบูน ซึ่งติดกับหม้อแก้วเลี้ยงปลาทองตั้งปิดช่องกลาง ปลาย
แถวตั้งขันเทียนคาถาพัน ตามตะเกียงกิ่งที่เสาแขวนฉากเทศน์
ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ น่าท้องพระโรงมีซุ้มตะเกียง ๔ ซุ้ม มีราชวัตรฉัตร
ธงผูกต้นกล้วยต้นอ้อยตามธรรมเนียม เล่ากันว่าเมื่อแผ่นดินพระ
บาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย เปนเวลาเล่นเครื่องแก้วกำลัง
มีราคามากนั้น ในห้องฉากซึ่งเปนที่ประทับในพระเฉลียงพระที่นั่ง
อมรินทรวินิจฉัยนี้ ตั้งเครื่องแก้วเปนเครื่องนมัสการโต๊ะหมู่ แลมี
เครื่องประดับต่าง ๆงดงามยิ่งนัก เจ้านายข้าราชการฝ่ายในก็มี
ตระบะเครื่องบูชาเปนเครื่องแก้ว เครื่องทอง เครื่องถม ประกวด
ประขันกันเปนการสนุกสนานมาก แต่ชั้นหลังมานี้ ในพระฉาก
มีแต่เครื่องนมัสการแก้วโต๊ะประดับกระจกสำรับเดียวเท่านั้น แต่
เจ้านายข้าราขการฝ่ายในยังมีเครื่องบูชา ชั้นแก่ ๆ จึงใช้ตระบะ
อย่างเก่า ๆ ชั้นสาว ๆ ก็เปนพานย่อ ๆ ลงไป เล่นแต่สีดอก
ไม้ดอกไหล้ ไม่แขงแรงเหมือนอย่งแต่ก่อน แต่ถ้าเทศน์ที่พระ
ที่นั่งทรงธรรม จัดม้าหมู่ตรงน่าธรรมาศน์ มีเครื่องแก้วต่าง ๆ ฝรั่ง
บ้างจีนบ้างมากว่าที่เทศน์ท้องพระโรง แต่ยกต้นไม้เงินทอง ใช้
ตั้งต้นไม้สดรายออกไปถึงที่ตั้งเครื่องกัณฑ์
ในเทศนามหาชาติหลวง ได้มีเปนการใหญ่ ในแผ่นดินพระ
บาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ เกณฑ์พระบรมวงษานุวงศ์
ข้าราชการ ทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศนาคราวหนึ่ง มาเมื่อ
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าบวชเปน
เณรได้ถวายเทศน์ มีกระจาดใหญ่เปนรูปเรือสำเภา ทำที่น่าพระ
ที่นั่งสุทไธสวรรย์เปนกัณฑ์เฉภาะตัวคนเดียวคราวหนึ่ง
ธรรมเนียมเสด็จออกมหาชาติ กัณฑ์แรกทศพร เจ้ากรม
ปลัดกรมพระตำรวจต้องนำตะเกียงที่ซุ้มเข้ามาถวายทรงจุดซุ้มละ
ตะเกียง ต่อไปไม่ต้องถวายอีก มหาดเล็กต้องคอยเปลี่ยนเทียน
เครื่องนมัสการ ในเวลาที่เสด็จไปทรงประเคนเครื่องกัณฑ์ให้แล้ว
เสร็จ ทันเสด็จกลับมาประทับทุกครั้ง เวลาจุดเทียนแล้วต้อง
รับเทียนประจำกัณฑ์ แลเทียนคาถาพันทุกคราว ไม่มีเวลายกเว้น
นอกนั้นไม่มีการอันใดซึ่งจะต้องขาดเหลือ ฯ
ทั้งหมดเปนรายละเอียดในพระราชกุศลเทศมหาชาติ ที่ล้นเกล้ารัชการที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้อย่างละเอียดทั้งประวัติการมีพระราชกุศลตั้งแต่ในรัชการที่ ๑ ถึง รัชกาลของพระองค์ เครื่องใช้ประกอบพระราชกุศล และการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชบริพาน อย่างละเอียด ทำให้ได้ทราบถึงธรรมเนียมปฎิบัติในแต่ละรัชการอีกด้วยครับ.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)