ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
คุณยายเล่าให้ฟัง
เมื่อวานผมขับรถจากเชียงใหม่เพื่อจะไปกรุงเทพฯกับคุณแม่ วันนี้เราออกจากเชียงใหม่มาสายขับมาถึงบ้านตากคุณแม่ก็พูดถึงเมืองแหงซึ่งเป็นบ้านของญาติทางฝ่ายคุณยาย คุณยายเคยเล่าให้ฟังว่าบ้านของญาติพี่น้อง จะอยู่ติดริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันออก เป็นเรือนไม้ซึ่งบ้านเรามักเรียกว่าเฮือนแป คือเรือนไม้ชั้นเดียวและชั้นครึ่งที่ด้านหน้ามีบานประตูพับ (บานเสี้ยม) เปิดออกและพับได้ด้านหน้าจะติดกับถนนด้านหลังติดแม่น้ำปิงซึ่งในสมัยก่อนด้านหลังเป็นด้านหน้าโดยบ้านแบ่งเป็นสามตอน ด้านหน้ามักเป็นหน้าร้านเปิดขายของ ส่วนกลางจะเป็นครัวและที่กินข้าว ด้านหลังจะเป็นโถงโล่งสำหรับเก็บและขนถ่ายสินค้าจากเรือหางแมงป่อง ซึ่งจะเทียบท่าด้านหลังบ้านที่ทำยื่นออกไปในแม่นำปิง บางครั้งก็จะใช้เป็นที่ซักผ้าอีกด้วย ระหว่างเรือนด้านหน้าและเรือนอีกสองหลังจะมีชานไม้ต่อเชื่อมระหว่างกันโดยตลอดเป็นที่วางโอ่งน้ำและปลูกต้นไม้กระถาง ส่วนหลังข้างหน้าจะมีบันไดขึ้นบนชั้นสองซึ่งจะมีห้องนอนของคุณทวด และหอพระและหอบรรพบุรุษ อยู่ส่วนหน้าของเรือนที่แยกออกต่างหาก ส่วนห้องนอนลูก ๆจะอยู่ด้านล่างห้องหลังของเรือนซึ่งด้านหน้าเป็นร้านค้า บ้านของคุณทวดพ่อคุณยายจะนำผ้าแพรพรรณมาจากทางกรุงเทพฯ เมื่อคิดถึงคำคุณยายเล่าผมก็ถามคุณแม่ว่าเคยมาบ้านญาติแถวเมืองแหงนีไหมคุณแม่ก็พยักหน้าบอกเคยมาเมื่อตอนเล็น ๆนานมาแล้ว นั่งเรือมาขึ้นที่ท่าหลงบ้านของญาติ ติดริมแม่น้ำปิง ผมจึงลองเลี้ยงรถเข้าไปตามถนนเลียบริมแม่นำปิงที่จังหวัดตาก ก็ได้เห็นบ้านผู้คนริมแม่น้ำปิงที่ยังคงเค้าสภาพเดิมอยู่บ้างถามคุณแม่ว่าจำได้ไหมคุณแม่ตอบว่าจำไม่ได้แล้วลูกเพราะนานมาแล้วแต่ก็มีลักษณะคล้าย ๆที่เห็นอยู่นี้ ส่วนด้านตรงกันข้ามที่ไม่ติดน้ำปิงก็จะเป็นบ้านทรงไทยภาคกลางหลงเหลือซึ่งส่วนมากก็ทรุดโทรมลงไปมากแล้ว หลายหลัง ได้ลองพูดคุยกัยคนแก่ที่แถวนั้น ก็จะตรงกับที่คุณยายเล่าให้ฟังว่าเป็นเขาพูดภาษาภาคกลางผสมภาคเหนือสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากหลักฐานบ้านเรือน ก็ทำให้สามารถยืนยันได้ว่าชาวเมืองแหงนี้เป็นคนไทยภาคกลางที่ได้อพยพทำมาค้าขายตามริมแม่น้ำปิงจากอยุธยามาอยู่อาศัยยังเมืองแหงและค้าขายขึ้นไปจนส่วนหนึ่งไปอยู่ที่เวียงป่าซางและไปอยู่แถวย่านวัดเกตของเชียงใหม่ในที่สุด ซึ่งยังคงเป็นญาติเครือกันแต่เนื่องด้วยลูกหลานไม่ได้ติดต่อกันจึงขาดหายกันไปจนไม่สามารถสืบต่อญาตินอกจากประวัติที่รวบรวมและเล่าต่อกันมาในสายญาติและสิ่งของเครื่องใช้ แม้แต่พระพุทธรูปบูชาที่ได้รับสืบทอดกันมาซึ่งเป็นจารีตของคนภาคกลางที่บุชาพระพุทธรูปซึ่งคนภาคเหนือในแผ่นดินล้านนาในอดีตจะไม่นำพระพุทธรูปบูชาบนบ้านและรับส่วนนี้มากจากภาคกลางซึงหน้าจะมาจากการอพยพค้าขายของกล่มชนภาคกลางที่ขึ้นมาไม่เกินกว่าสองร้อยปีนี้เอง ซึ่งแม้แต่คุณยายผมเองก็ยังทำอาหารไทยภาคกลาง และพูดภาษากลางที่ผสมกับคำเหนือบ้างเล็กน้อย ซึ่งคงเป็นภาษาของชาวเมืองแหง จนท่านเสียชีวิตไปในปี ๒๕๓๘ นี้เอง.
MUSEUM BENJAPON: พิธีกะติเกยา เดือนสิบสอง
MUSEUM BENJAPON: พิธีกะติเกยา เดือนสิบสอง: " ในเดือนสิบสอง ยังมีพระราชพิธีอีกหลายพระราชพิธีที่มีมาแต่รัชกาลก่อนในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งผมจะอัญเชิญม..."
พิธีกะติเกยา เดือนสิบสอง
ในเดือนสิบสอง ยังมีพระราชพิธีอีกหลายพระราชพิธีที่มีมาแต่รัชกาลก่อนในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งผมจะอัญเชิญมาดังนี้
หน้าที่ ๑๗ ถึงหน้าที่ ๑๙
การพระราชพิธีกะติเกยา ตามคำพระมหาราชครูพิธี ได้
กล่าวว่า การพระราชพิธีนี้แต่ก่อนได้ทำในเดือนอ้าย แต่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนมาทำในเดือน
สิบสอง การซึ่งจะกำหนดทำพระราชพิธีเมื่อใดนั้น เปนพนักงาน
ของโหรต้องเขียนฎีกาถวาย ในฎีกานั้นว่าโหรมีชื่อได้คำณวนพระ
ฤกษ์ พิธีกะติเกยากำหนดวันนั้น ๆ พระมหาราชครูจะได้ทำ
พระราชพิธีนั้น ๆ ลงท้ายท้าว่าจะมีคำทำนาย แต่ไม่ปรากฏ
ว่าได้นำคำทำนายขึ้นมากราบเพ็ดกราบทูลอันใดต่อไปอีก ชรอย
จะเปนด้วยทำนายดีทุกปีจนทรงจำได้ แล้วรับสั่งห้ามเสีย ไม่ให้
ต้องกราบทูลแต่ครั้งใดมาไม่ทราบเลย การซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนพิธีมาทำในเดือนสิบสองนั้น
คือกำหนดเมื่อพระจันทร์เสวยฤกษ์กฤติกาเต็มบริบูรณ์เวลาไร เวลา
นั้นเปนกำหนดพระราชพิธี การซึ่งทรงกำหนดเช่นนี้ก็จะแปลมาจาก
ชื่อพิธีนั้นเอง การที่พระมหาราชครูพิธีว่าเมื่อก่อนทำเดือนอ้านนั้น
เปนการเลื่อนลงมาเสียดอก แต่เดิมมาก็ทำเดือนสิบสอง ครั้น
เมื่อพิธีตรียัมพวายเลื่อนไปทำเดือนยี่แล้ว การพิธีนี้จึงเลื่อนตาม
ลงไปเดือนอ้าย เพราะพิธีนี้เปนพิธีตามเพลิงคอยรับพระเปนเจ้าจะ
เสด็จลงมา ดูเปนพิธีนำน่าพิธีตรียัมพวาย ที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้กลับขึ้นไปทำเดือนสิบสองนั้นก็
เพราะจะให้ถูกกับชื่อพิธีดังที่ว่ามาแล้ว พระราชพิธีนีคงตกอยู่
ในระหว่างกลางเดือนสิบสอง เคลื่อนไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง
เล็กน้อย คงจะเกี่ยวกับพระราชพิธีจองเปรียงอยู่เสมอ การที่
ทำนั้นคือปลูกเกยขึ้นที่น่าเทวสถานสามเกย สถานพระอิศวรเกย ๑
สถานมหาวิฆเนศวรเกย ๑ สถานพระนารายน์เกย ๑ เกยสูง ๔
ศอกเท่ากัน ที่ข้างเกยเอามูลโคกับดินผสมกันก่อเปนเขาสูงศอก
หนึ่งทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่าบัพพโต แล้วเอาหม้อใหม่ ๓ ใบถักเชือก
รอบนอกเรียกว่าบาตรแก้ว มีหลอดเหล็กวิลาดร้อยไส้ด้ายดิบ
เก้าเส้น แล้วมีถุงเข้าเปลือกถั่วงาทิ้งลงไว้ในหม้อนั้นทั้ง ๓ หม้อ
แล้วเอาไม้ยาว ๔ ศอกเรียกว่าไม้เทพทณฑ์ปลายพันผ้าสำหรับชุบ
น้ำมันจุดไฟ ครั้นเวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีบูชาไม้เทพทณฑ์แล
บาตรแก้ว แล้วอ่านตำหรับจุดไฟในบาตรแก้ว แล้วรดน้ำสังข์
จุณเจิมไม้นั้น ครั้นจบวิธีแล้วจึงได้นำบาตรแลไม้เทพทณฑ์
ออกไปที่น่าเทวสถาน เอาบาตรแก้วตั้งบนหลักริมเกย เอาปลาย
ไม้เทพทณฑ์ที่หุ้มผ้าชุบน้ำมันจุดไฟพุ่งไปที่บัพพโตทั้ง ๔ ทิศ เปน
การเสี่ยงทาย ทิศบูรพาสมมุติว่าเปนพระเจ้าแผ่นดิน ทิศทักษิณ
สมมุติว่าเปนสมณะพราหมณ์ ทิศประจิมว่าเปนอำมาตย์มนตรี
ทิศอุดรว่าเปนราษฏร พุ่งเกยที่หนึ่งแล้วเกยที่สองที่สามต่อไป
จนครบทั้งสามเกยเปนไม้สิบสองอัน แล้วตามเพลิงในบาตรแก้วไว้
อิกสามคืน สมมุติว่าตามเพลิงคอยรับพระเปนเจ้าจะเสด็จลงมา
เยี่ยมโลกย์ เมื่อพุ่งไม้แล้วกลับเข้ามาสวดบูชาเข้าตอกบูชาบาตร
แก้วที่จุดไฟไว้น่าเทวสถานทั้ง ๓ สถาน ต่อนั้นไปอีกสองวันก็ไม่
มีพิธีอันใด วันที่สามนำบาตรแก้วเข้าไปในเทวสถาน รดน้ำ
สังข์ดับเพลิงเปนเสร็จการพระราชพิธี
การพระราชพิธีกะติเกยานี้ เปนพิธีพราหมณ์แท้ แลเหตุผล
ก็เลื่อนลอยมาก จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่รู้ที่จะ
ทรงเติมการพิธีสงฆ์ฤาแก้ไขเพิ่มเติมอันใดได้ แต่เปลี่ยนกำหนด
ให้ถูกชื่ออย่างเดียว คงอยู่ด้วยเปนพิธีราคาถูกเพียง ๖ บาท
เท่านั้น ฯ
ตามในพระราชนิพนธ์นี้เปนพิธีพราหมณ์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ถึงขั้นตอนในการทำพิธีและของที่โดยละเอียด ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นำเสนอหน้าจะเปนความเชื่อในการบูชาที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อเรื่อพระอัคคีที่เป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับเทพพระเจ้าทั้งสามถ้าหากได้ทราบถึงข้อความในการอ่าน"ตำหรับ" ของพระมหาราชครู ซึ่งถ้าหากท่านผู้ใดทราบข้อความกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยเพื่อเปนวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจ และมีความชัดเจนในพิธีนี้มากขึ้น เพราะในพิธีพราหมณ์ยังมีพิธีเกี่ยวกับไฟอีกมากเช่นพิธีโหมกูณ เป็นต้นซึ่งจะนำมาเสนอต่อไปครับ
หน้าที่ ๑๗ ถึงหน้าที่ ๑๙
การพระราชพิธีกะติเกยา ตามคำพระมหาราชครูพิธี ได้
กล่าวว่า การพระราชพิธีนี้แต่ก่อนได้ทำในเดือนอ้าย แต่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เลื่อนมาทำในเดือน
สิบสอง การซึ่งจะกำหนดทำพระราชพิธีเมื่อใดนั้น เปนพนักงาน
ของโหรต้องเขียนฎีกาถวาย ในฎีกานั้นว่าโหรมีชื่อได้คำณวนพระ
ฤกษ์ พิธีกะติเกยากำหนดวันนั้น ๆ พระมหาราชครูจะได้ทำ
พระราชพิธีนั้น ๆ ลงท้ายท้าว่าจะมีคำทำนาย แต่ไม่ปรากฏ
ว่าได้นำคำทำนายขึ้นมากราบเพ็ดกราบทูลอันใดต่อไปอีก ชรอย
จะเปนด้วยทำนายดีทุกปีจนทรงจำได้ แล้วรับสั่งห้ามเสีย ไม่ให้
ต้องกราบทูลแต่ครั้งใดมาไม่ทราบเลย การซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนพิธีมาทำในเดือนสิบสองนั้น
คือกำหนดเมื่อพระจันทร์เสวยฤกษ์กฤติกาเต็มบริบูรณ์เวลาไร เวลา
นั้นเปนกำหนดพระราชพิธี การซึ่งทรงกำหนดเช่นนี้ก็จะแปลมาจาก
ชื่อพิธีนั้นเอง การที่พระมหาราชครูพิธีว่าเมื่อก่อนทำเดือนอ้านนั้น
เปนการเลื่อนลงมาเสียดอก แต่เดิมมาก็ทำเดือนสิบสอง ครั้น
เมื่อพิธีตรียัมพวายเลื่อนไปทำเดือนยี่แล้ว การพิธีนี้จึงเลื่อนตาม
ลงไปเดือนอ้าย เพราะพิธีนี้เปนพิธีตามเพลิงคอยรับพระเปนเจ้าจะ
เสด็จลงมา ดูเปนพิธีนำน่าพิธีตรียัมพวาย ที่พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้กลับขึ้นไปทำเดือนสิบสองนั้นก็
เพราะจะให้ถูกกับชื่อพิธีดังที่ว่ามาแล้ว พระราชพิธีนีคงตกอยู่
ในระหว่างกลางเดือนสิบสอง เคลื่อนไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง
เล็กน้อย คงจะเกี่ยวกับพระราชพิธีจองเปรียงอยู่เสมอ การที่
ทำนั้นคือปลูกเกยขึ้นที่น่าเทวสถานสามเกย สถานพระอิศวรเกย ๑
สถานมหาวิฆเนศวรเกย ๑ สถานพระนารายน์เกย ๑ เกยสูง ๔
ศอกเท่ากัน ที่ข้างเกยเอามูลโคกับดินผสมกันก่อเปนเขาสูงศอก
หนึ่งทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่าบัพพโต แล้วเอาหม้อใหม่ ๓ ใบถักเชือก
รอบนอกเรียกว่าบาตรแก้ว มีหลอดเหล็กวิลาดร้อยไส้ด้ายดิบ
เก้าเส้น แล้วมีถุงเข้าเปลือกถั่วงาทิ้งลงไว้ในหม้อนั้นทั้ง ๓ หม้อ
แล้วเอาไม้ยาว ๔ ศอกเรียกว่าไม้เทพทณฑ์ปลายพันผ้าสำหรับชุบ
น้ำมันจุดไฟ ครั้นเวลาค่ำพระมหาราชครูพิธีบูชาไม้เทพทณฑ์แล
บาตรแก้ว แล้วอ่านตำหรับจุดไฟในบาตรแก้ว แล้วรดน้ำสังข์
จุณเจิมไม้นั้น ครั้นจบวิธีแล้วจึงได้นำบาตรแลไม้เทพทณฑ์
ออกไปที่น่าเทวสถาน เอาบาตรแก้วตั้งบนหลักริมเกย เอาปลาย
ไม้เทพทณฑ์ที่หุ้มผ้าชุบน้ำมันจุดไฟพุ่งไปที่บัพพโตทั้ง ๔ ทิศ เปน
การเสี่ยงทาย ทิศบูรพาสมมุติว่าเปนพระเจ้าแผ่นดิน ทิศทักษิณ
สมมุติว่าเปนสมณะพราหมณ์ ทิศประจิมว่าเปนอำมาตย์มนตรี
ทิศอุดรว่าเปนราษฏร พุ่งเกยที่หนึ่งแล้วเกยที่สองที่สามต่อไป
จนครบทั้งสามเกยเปนไม้สิบสองอัน แล้วตามเพลิงในบาตรแก้วไว้
อิกสามคืน สมมุติว่าตามเพลิงคอยรับพระเปนเจ้าจะเสด็จลงมา
เยี่ยมโลกย์ เมื่อพุ่งไม้แล้วกลับเข้ามาสวดบูชาเข้าตอกบูชาบาตร
แก้วที่จุดไฟไว้น่าเทวสถานทั้ง ๓ สถาน ต่อนั้นไปอีกสองวันก็ไม่
มีพิธีอันใด วันที่สามนำบาตรแก้วเข้าไปในเทวสถาน รดน้ำ
สังข์ดับเพลิงเปนเสร็จการพระราชพิธี
การพระราชพิธีกะติเกยานี้ เปนพิธีพราหมณ์แท้ แลเหตุผล
ก็เลื่อนลอยมาก จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่รู้ที่จะ
ทรงเติมการพิธีสงฆ์ฤาแก้ไขเพิ่มเติมอันใดได้ แต่เปลี่ยนกำหนด
ให้ถูกชื่ออย่างเดียว คงอยู่ด้วยเปนพิธีราคาถูกเพียง ๖ บาท
เท่านั้น ฯ
ตามในพระราชนิพนธ์นี้เปนพิธีพราหมณ์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ถึงขั้นตอนในการทำพิธีและของที่โดยละเอียด ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นำเสนอหน้าจะเปนความเชื่อในการบูชาที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อเรื่อพระอัคคีที่เป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับเทพพระเจ้าทั้งสามถ้าหากได้ทราบถึงข้อความในการอ่าน"ตำหรับ" ของพระมหาราชครู ซึ่งถ้าหากท่านผู้ใดทราบข้อความกรุณาแจ้งให้ทราบด้วยเพื่อเปนวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจ และมีความชัดเจนในพิธีนี้มากขึ้น เพราะในพิธีพราหมณ์ยังมีพิธีเกี่ยวกับไฟอีกมากเช่นพิธีโหมกูณ เป็นต้นซึ่งจะนำมาเสนอต่อไปครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)