วันพรุ่งนี้เป็นวันเด็ก มานั่งคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา ช่างนานเสียเหลือเกิน วันเด็กในสมัยผมเป็นเด็ก มักจะขออนุญาติคุณแม่ไปที่ วิทยาลัยเทคนิคตีนดอย เพราะพวกพี่ ๆมีกิจกรรมที่เสริมสร้างความรุ้ เช่นการวาดรูป การปั้นดิน แกะสลักไม้ และที่สำคัญมีการประกวดร้องเพล ซึ่งมักจะให้เลือร้องเพลงใดเพลงหนึ่งคือ เด็กเอ๋ยเด็กดี และเพลงหนูเอย ซึ่งทั้งสองเพลงมีความหมายที่ดีและซิมซับในจิตใจและเปนแนวทางการดำเนินชิวิตมาถึงปัจจุบัน เพลงที่มีความยาวมากและข้อนข้าร้องยากคือเพลงหนูเอย แต่งคำร้อง โดยคุณแก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง คุณเวส สุนทรจามร ซึ่งมีเนื้อร้องกินใจดังต่อไปนี้
หนูเอยหนูจงฟัง
พี่จะสอนพี่จะสั่งหนูจงฟังเอาไว้ให้ดี
หนูเอยสมัยนี้
เป็นสมัยที่เอาดีกันด้วยปัญญา
หนูอย่าซุกซน
จงอดจงทนหนูจงบ่นท่องวิชา
ในภายภาคหน้า จะได้พึ่งวิชาปัญญาจะเฟื่องฟู
หนูเอยหนูจงเพียร
หนูจงเล่าหนูจงเรียนหนูจงเพียรหาความรู้
หนูเอยจงคิดดู
หากมีใครลบหลู่แล้วหนูจะโทษใคร
หนูเร่งเร็วพลันจงบากและจงบั่นหนูจงหมั่นอย่าท้อใจ
หนูเอยจะบอกให้
ปลูกปัญญาเอาไว้เรียนไปให้เชี่ยวชาญ
หนูเอยอย่าเกเร
หนู่อย่าเที่ยวหนูอย่าเตร่อย่าเสเพลประพฤติพาล
หนูเอยอย่าเกียจคร้าน
หมั่นเล่าเรียนเขียนอ่านคบพาลจะเสียคน
หนูกอบการดีเป็นศักดิ์และเป็นศรี
ทั้งเป็นที่น้อมกมล
หนูจะไม่อับจน
แต่จงเลือกคบคนแล้วตนจะรุ่งเรือง
หนูเอยหนูฟังว่า
เพราะสติปัญญานั้นจะพาให้กระเดื่อง
หนูเอยชาติบ้านเมือง
จะเจริญฟุ้งเฟื่องก็เนื่องด้วยเด็กไทย
แม้ชาติต่างแดนมาหมิ่นหรือมาแคลน
หนูไม่แค้นบ้างหรือไร
บ้านเมืองเจริญได้
อยู่ที่เด็กของไทย มิใช่ใครอื่นเลย
เพลงนี้มีความหมายมากมายถ้านำไปพิจารณาและดำเนินรอยตามปัจจุบันมีเด็กไทยสักกี่คนที่ทำตามได้อย่างนี้ อยากรู้จัง.
ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554
ระลึกถึง เพลงเก่า ๆ
พระราชพิธีเดือนยี่
พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ในพระราชนิพนธ์สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู้หัวต่อจากตอนที่แล้วดังนี้ หน้าที่ ๘๓ หน้าที่ ๘๕
เมื่อจะว่าด้วยความประพฤติของพระเปนเจ้าทั้งปวง ซึ่งผู้อยู่
ในประเทศใดแต่งคัมภีร์ พระเปนเจ้าก็ประพฤติพระองค์เปนคน
ชาตินั้น ดังเช่นกล่าวมาแล้วนั้น พระอิศวรของพราหมณ์ที่อยู่ใน
กรุงสยามนี้ประพฤติพระองค์เปนอย่างชาวอินเดีย คือไม่เสวยเนื้อ
สัตว์ โปรดเข้าเม่า,เข้าตอก.กล้วย,อ้อย.มะพร้าว,เผือก,มัน,นม,
เนย, ตามที่พวกพราหมณ์ในประเทศอินเดียกินเปนอาหารอยู่ แล
ถือกันว่าพระอิศวรนั้นเปนพระคุณ คือเปนผู้ที่จะสงเคราะห์เทพยดา
มนุษย์ยักษ์มารทั่วไป ไม่มีที่จะลงโทษแก่ผู้ใด โดยจะต้อง
ทำบ้างก็เปนการจำเปนโดยเสียไม่ได้ หลงๆ ลืมๆ เช่นครั้งปราบ
ตรีบุรำเปนต้น เมื่อแผลงศรไปไม่สำเร็จแล้วก็ไม่ตั้งความเพียรที่จะ
ทำต่อไป มอบธุระให้พระนารายน์เสียทีเดียว โดยว่ามักจะทรง
กริ้วโกรธสนมกำนัลที่มีความผิดเล็กน้อยในการปฎิบัติวัดถากมีจุด
ตะเกียงเปนต้น ก็ยังทรงพระเมตตาให้มีกำหนดพ้นโทษ แลให้
เปนประโยชน์แก่การเรื่องอื่น มีให้เปนเมียหณุมานเปนรางวัล แล
บอกหนทางพระรามเปนต้น เพราะพระอิศวรเต็มไปด้วยความกรุณา
ไม่เลือกว่าคนดีฤาคนชั่ว เพราะใครไปตั้งพิธีรีตองจะขออันใด
ก็ได้สมปรารถนา จะไปดีฤาชั่วตามแต่ตัวผู้ได้ไป เพราะพระไทย
ดีมีพื้นอันใหม่อยู่เปนนิจดังนี้ จึงได้มีพระนามปรากฎว่าพระคุณ
ส่วนพระนารายน์มีพระอาการตามที่กล่าวว่า เมื่ออยู่ปรกติ
เสมอย่อมบรรธมอยู่ในกลางทเลน้ำนมเปนนิตย์ ต่อเมื่อเวลาใดมี
การอันใดซึ่งพระอิศวรจะต้องการ รับสั่งใช้ให้ไปปราบปรามผู้ซึ่ง
ประทุษร้ายแก่โลกย์ทั้งปวงจึงได้ปลุกขึ้นมา เพราะฉนั้น พระนารายน์
จึงเปนแต่ผู้ทำลาย ที่สุดโดยปลุกขึ้นมาเพื่อการมงคลเช่นโสกันต์
พระขันธกุมาร ก็ทรงขัดเคืองบริภาษจนพระเศรียรพระขันธกุมาร
หายไป พระอิศวรต้องซ่อมแซมแก้ไขด้วยศีศะช้าง เพราะเหตุ
ฉนั้นจึงมีคำกล่าวว่าพระนาราย์ย่อมไม่ประสิทธิพรอวยสวัสดิมงคล
แต่สักครั้งหนึ่งเลย ที่สุดจนเครื่องบูชาในเวลาพระราชพิธีตรีปวาย
ก็ห้ามไม่ให้นำมาถวายด้วยกลัวพิศน์ จะแจกให้แก่ผู้ดีมีหน้าก็
ไม่ได้ ต้องแจกให้แก่ยาจกวรรณิพก แลถือกันว่าถ้าวันแรม ๕ ค่ำ
ซึ่งเปนวันส่งพระนารายน์นั้นต้องวันพิศน์ มักจะเกิดเหตุตีรันฟัง
แทงกันชุกชุม ( เพราะเดือนมืดคนไม่ใคร่ไปดู ) พราหมณ์ทั้งปวง
ต้องระวังกันเปนกวดขัน เพราะพระนารายน์เปนพนักงานแต่ล้าง
ผลาญเช่นนี้ จึงได้มีนามปรากฎว่าพระเดช เปนคู่กันกับพระคุณ
ส่วนพระมหาวิฆเนศนั้น คือพระขันธกุมารซึ่งพระเศียร
เปนช้าง เปนพระโอรสพระอิศวรพราหมณ์ย่อมนับถือโดย
ฤทธิเดชของพระองค์เองบ้าง โดยจะให้ถูกพระไทยพระอิศวรเปน
การสัพพีบ้าง จึงเปนพระเปนเจ้าอีกองค์หนึ่ง
เทวสถานซึ่งเปนของสำหรับพระนครจึงทำเปนสามสถาน
สถานหนึ่งพระอิศวร สถานกลางพระมหาวิฆเนศวร อีกสถานหนึ่ง
พระนารายณ์ การพระราชพิธีตรียัมพวายแลตรีปวายนี้ ทำที่เทว
สถานทั้งสามนั้น
ครับยังคงมีรายละเอียดอีกมากติดต่ามต่อไปน่ะครับ.
เมื่อจะว่าด้วยความประพฤติของพระเปนเจ้าทั้งปวง ซึ่งผู้อยู่
ในประเทศใดแต่งคัมภีร์ พระเปนเจ้าก็ประพฤติพระองค์เปนคน
ชาตินั้น ดังเช่นกล่าวมาแล้วนั้น พระอิศวรของพราหมณ์ที่อยู่ใน
กรุงสยามนี้ประพฤติพระองค์เปนอย่างชาวอินเดีย คือไม่เสวยเนื้อ
สัตว์ โปรดเข้าเม่า,เข้าตอก.กล้วย,อ้อย.มะพร้าว,เผือก,มัน,นม,
เนย, ตามที่พวกพราหมณ์ในประเทศอินเดียกินเปนอาหารอยู่ แล
ถือกันว่าพระอิศวรนั้นเปนพระคุณ คือเปนผู้ที่จะสงเคราะห์เทพยดา
มนุษย์ยักษ์มารทั่วไป ไม่มีที่จะลงโทษแก่ผู้ใด โดยจะต้อง
ทำบ้างก็เปนการจำเปนโดยเสียไม่ได้ หลงๆ ลืมๆ เช่นครั้งปราบ
ตรีบุรำเปนต้น เมื่อแผลงศรไปไม่สำเร็จแล้วก็ไม่ตั้งความเพียรที่จะ
ทำต่อไป มอบธุระให้พระนารายน์เสียทีเดียว โดยว่ามักจะทรง
กริ้วโกรธสนมกำนัลที่มีความผิดเล็กน้อยในการปฎิบัติวัดถากมีจุด
ตะเกียงเปนต้น ก็ยังทรงพระเมตตาให้มีกำหนดพ้นโทษ แลให้
เปนประโยชน์แก่การเรื่องอื่น มีให้เปนเมียหณุมานเปนรางวัล แล
บอกหนทางพระรามเปนต้น เพราะพระอิศวรเต็มไปด้วยความกรุณา
ไม่เลือกว่าคนดีฤาคนชั่ว เพราะใครไปตั้งพิธีรีตองจะขออันใด
ก็ได้สมปรารถนา จะไปดีฤาชั่วตามแต่ตัวผู้ได้ไป เพราะพระไทย
ดีมีพื้นอันใหม่อยู่เปนนิจดังนี้ จึงได้มีพระนามปรากฎว่าพระคุณ
ส่วนพระนารายน์มีพระอาการตามที่กล่าวว่า เมื่ออยู่ปรกติ
เสมอย่อมบรรธมอยู่ในกลางทเลน้ำนมเปนนิตย์ ต่อเมื่อเวลาใดมี
การอันใดซึ่งพระอิศวรจะต้องการ รับสั่งใช้ให้ไปปราบปรามผู้ซึ่ง
ประทุษร้ายแก่โลกย์ทั้งปวงจึงได้ปลุกขึ้นมา เพราะฉนั้น พระนารายน์
จึงเปนแต่ผู้ทำลาย ที่สุดโดยปลุกขึ้นมาเพื่อการมงคลเช่นโสกันต์
พระขันธกุมาร ก็ทรงขัดเคืองบริภาษจนพระเศรียรพระขันธกุมาร
หายไป พระอิศวรต้องซ่อมแซมแก้ไขด้วยศีศะช้าง เพราะเหตุ
ฉนั้นจึงมีคำกล่าวว่าพระนาราย์ย่อมไม่ประสิทธิพรอวยสวัสดิมงคล
แต่สักครั้งหนึ่งเลย ที่สุดจนเครื่องบูชาในเวลาพระราชพิธีตรีปวาย
ก็ห้ามไม่ให้นำมาถวายด้วยกลัวพิศน์ จะแจกให้แก่ผู้ดีมีหน้าก็
ไม่ได้ ต้องแจกให้แก่ยาจกวรรณิพก แลถือกันว่าถ้าวันแรม ๕ ค่ำ
ซึ่งเปนวันส่งพระนารายน์นั้นต้องวันพิศน์ มักจะเกิดเหตุตีรันฟัง
แทงกันชุกชุม ( เพราะเดือนมืดคนไม่ใคร่ไปดู ) พราหมณ์ทั้งปวง
ต้องระวังกันเปนกวดขัน เพราะพระนารายน์เปนพนักงานแต่ล้าง
ผลาญเช่นนี้ จึงได้มีนามปรากฎว่าพระเดช เปนคู่กันกับพระคุณ
ส่วนพระมหาวิฆเนศนั้น คือพระขันธกุมารซึ่งพระเศียร
เปนช้าง เปนพระโอรสพระอิศวรพราหมณ์ย่อมนับถือโดย
ฤทธิเดชของพระองค์เองบ้าง โดยจะให้ถูกพระไทยพระอิศวรเปน
การสัพพีบ้าง จึงเปนพระเปนเจ้าอีกองค์หนึ่ง
เทวสถานซึ่งเปนของสำหรับพระนครจึงทำเปนสามสถาน
สถานหนึ่งพระอิศวร สถานกลางพระมหาวิฆเนศวร อีกสถานหนึ่ง
พระนารายณ์ การพระราชพิธีตรียัมพวายแลตรีปวายนี้ ทำที่เทว
สถานทั้งสามนั้น
ครับยังคงมีรายละเอียดอีกมากติดต่ามต่อไปน่ะครับ.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)