สวัสดีครับก่อนจะต่อในพระประวัติ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี จากตอนที่ ๓ มี หลายเรื่องที่จะเล่าให้ฟังครับ ตอน แล้วลงเรือประพาส มีเรือแม่ปะ สีด ชะล่า กว่า ๕๐ ลำปักธงทิวเป็นขบวน เรือแม่ปะ หรือ เรียกอีกอย่างว่าเรือหางแมงปล่อง เพราะเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มักใช้ในการนำสินค้าขึ้นล่องค้าขายระหว่าง กรุงเทพฯ ปากน้ำโพ เมืองแหง และเชียงใหม่ ซึ่งที่บ้านคุณชวดผมก็ใช้ค้าขายขนาดของเรือยาว ๒๐ เมตร และกว้างประมาณ ๔ เมตร แต่ท้องเรือแบนมีด้านหัวและหางที่เรียวยาว ด้านหาวจะโค้งขึ้นและด้านนางมีหยักคล้ายหางแทงปล่อง ด้านหน้าสำหรับคนถ่อเรือ มีประทุนอยุ่กลางและท้ายลำเรือเป็นหลังคาครึ่งวงกลมประทุนกลางลำเรือมีผาปิดทั้งด้านหน้าด้านหลังมีประตูเล็กๆให้เข้าออกใช้อยู่อาศัยและเก็บสินค้าส่วนประทุนด้านหลงมีหลังคาคลุมแต่ด้านข้างเปิดโล่งหลังคาทรงจั่วแบนสำหรับโดยสารหากเก็บของในประทุนกลางเต็มและมีนายท้ายเรือคัดท้ายเรือ ซึ่งไม้คัดท้ายจะเหมือนพายแต่ใหญ่และยาวกว่ามากประมาณ ๔ เมตร สมัยยังเป็นเด็กยังเห็นไม้คัดท้ายแขวนไว้ใต้ถุนบ้านซึ่งยาวตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงกลางตัวบ้าน ส่วนเรือชะล่ามีขนาดเล็กว่าเรือหางแมงปล่องไม่มีการต่อหัวและหางที่ยาวออกไป ส่วนเรื่องกลองที่จัดเป็นขบวนแห่รับเสด็จ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี เมื่อเสด็จถึงนครเชียงใหม่นั้นมีหลายชนิด ด้วยกันคือ กลองสบัดไชย ในอดีตมีแขวนอยู่ที่วัด ซึ่งเป็นกลองสองหน้าใช้ตีบอกสัญญานในการศึก และบอกข่าวในชุมชน หรือมีเหตุการณ์สำคัญที่ต้องแจ้งข่าวเมื่อผมเด็กๆที่วัดฟ้อนสร้อย จะแขวนไว้ที่คานหน้าประตุด้านข้างวิหาร เมือมีการเรียกประชุม หรือบอกเวลานัดเพื่อที่จะไปงานปอยหลวงจะมีการตีทุกคนเมื่อได้ยินเสียงกลองก้จะมารวมตัวกันที่วัด ที่วัดสันป่าข่อยก็มีหอกลองสูงที่บนหลังคาโฮง(กุฎิใหญ่) เมื่อคราวท่านพระศรีธรรมนิเทศก์ มรณะภาพ ก็มีการตีแจ้งข่าวโดยตีรัวถี่ เป็นเวลานาน เมื่อศรัธาได้ยินก็รีบมาที่วัด หรือเป็นการตีเพื่อแลองชัยชนะ และที่วัดมักใช้ตีเพื่อเป็นพุทธบูชา ในปัจจุบันส่วนมากใช้ในการแสดง ซึ่งการตีจะใช้ไม้ที่มีการพันเป็นตุ่มสองด้าน และใช้อวัยวะต่างๆของร่างกาย เช่นศอก เข่า กำปั้น ศรีษะ ประกอบการตี โดยไม่ให้สัมผัสหน้ากลอง สมัยก่อนมักหุ้มด้วยหนังและตรึงด้วยหมุดให้โผล่ออกมาโดยรอบ และมีกลองเล็กประกอบเรียกกลองลูกตุบอีก สองถึงสามลูกด้านข้าง แต่ในปัจจุบันเมื่อนำมาเป็นการแสดงในขบวนแห่ ส่วนมากมักจะเหลือใบใหญ่ใบเดียวและลดความหนาจากเดิมลงและมีไม้คานหามประกอบด้านบนและล่างเพื่อสะดวกในการเดินหามไปในขบวนด้านข้างกลองจะใช้ไม้แกะสลักนิยมเปนรูปนาคเพื่อตรึงกลองกับคานไม้ ส่วนการหุ้มหน้ากลองไม่ใช้หมุดแต่ใช้สายเร่วเสียงเพื่อสะดวกในการดึงหน้ากลอง และมีผ้าจับประดับโดยรอบอย่างสวยงาม และจะตีประกอบกับฉาบและฆ้องซึ่งบางครั้งมีการหลอกล่อ เรียกล่อฉาบอีกด้วย กลองมองเซิง เป็นกลองทรงกระบอกขนาดกลางมีเชื่อสำหรับแขวนคอ ตีสองหน้าซ้ายขวา ตีประกอบกับฆ้องชุดเน้นเสียงของฆ้องเป็นหลัก นิยมใช้ในขบวนแห่ครัวทาน หรืแห่ลูกแก้ว(บวชสามเณร) และประกอบการฟ้อนพื้นเมือง กลองปู่เจ่ หรืกลองอู่เจ่ เป็นกลองหน้าเดียว หรืกลองก้นยาว มักในขบวนแห่ งานวัด ประกอบการฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ฟ้อนนกกิงกะหล่า ฟ้อนโต มักใช้ตีร่วมกับฉาบกลางสองใบและฆ้อง เรื่องกลองมีลายละเอียดอีกมาคงจะเล่าคร่าวๆแค่นี้ครับ เรากลับมาเรื่องพระประวัติพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ต่อจากตอนที่ ๔ ซึ่ง เจ้าแก้วนวรัฐ ฯ เป็นผู้เขียนต่อไปน่ะครับ
ตอนที่ ๕ หน้าที่ ๖
ก่อนเสด็จถึงเชียงใหม่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหีบทองคำลงยา หลังหีบมีอักษรพระบรมนามาภิธัย จ.ป.ร. ประดับเพ็ชร์ ในหีบมีคำจารึกดังนี้ "หีบบรรจุคำอำนวยพรแลความคิดถึงของจุฬาลงกรณ์ ป.ร. ส่งไปให้แก่ดารารัศมีผู้เป็นที่รัก เมื่ออายุครบสามรอบบริบูรณ์ ในสมัยเมื่อกลับขึ้นไปเยี่ยมนครเชียงใหม่ รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๗-๘ " ล่วงหน้ามาทางบก และหีบนั้นถึงก่อน เจ้าพระยาสุรสีห์ ฯ ลงไปรับเสด็จที่สบแจ่ม ซึ่งตามระยะเรืออีก ๗ คืนจะถึงเชียงใหม่ เจ้าพระยาสุรสีห์ ฯ ได้เชิญหีบนั้นไปถวายด้วย(หีบนั้นยังมีอยู่จนบัดนี้) ระหว่างที่ประทับที่นครเชียงใหม่ ได้เสด็จไปเยี่ยมเจ้าผู้ครองนครลำพูน ลำปาง และประยูรญาติในจังหวัดนั้น ๆ โดยขบวนช้างแลม้านับจำนวนร้อย มีพลับพลาประทับร้อน ประทับแรม ตามระยะทางเสด็จ
เมื่อเสด็จกลับจากลำปางแล้ว ได้สร้างกู่หรืออนุเสาวรีย์ที่วัดสวนดอก แล้วอัญเชิญพระอัฎฐิ อัฎฐิ พระญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งบรรจุกู่ตามที่ใกล้ตลาดวโรรส และที่อื่น ๆ ไม่เป็นหมวดหมู่และเป็นที่ไม่เหมาะสม ไปบรรจุไว้ดังที่ปรากฏอยู่เวลานี้ คือ
๑. พระอัฎฐิพระเจ้าบรมราชาธิบดีศรีสุริยวงศ์อินทรสุรศักดิ์สมญามหาขัติยราช ชาติราชาไชยสวรรค์ (พระเจ้ากาวิละ) พระเจ้าขัณฑเสมานครเชียงใหม่ที่ ๑
๒. อัฎฐิเจ้าช้างเผือก เจ้านครเชียงใหม่ที่ ๒
๓. อัฎฐิเจ้าหลวงเศรษฐี (คำฝั้น) เจ้านครเชียงใหม่ที่ ๓
๔. อัฎฐิเจ้าหลวงแผ่นดินเย็น (พุทธวงศ์) เจ้านครเชียงใหม่ที่ ๔
๕. พระอัฎฐิพระเจ้ามโหตรประเทศ พระเจ้านครเชียงใหม่ที่ ๕
๖. อัฎฐิแม่เจ้าคำแผ่น ในพระเจ้ามโหตรประเทศ
๗. พระอัฎฐิพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ พระเจ้านครเชียงใหม่ที่ ๖
๘.อัฎฐิแม่เจ้าอุสาห์ ในพระเจ้ากาวิโลรส ฯ
๙. อัฎฐิพระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระเจ้านครเชียงใหม่ที่ ๗
๑๐. อัฎฐิแม่เจ้าทิพย์เกษร ในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ กับอัฎฐิเจ้านายอื่น ๆ อีก
เมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว มีการฉลองเป็นงานใหญ่โตมโหฬารนับว่าเป็นงานเกียรติยศ เป็นระเบียบครึกครื้นและผู้คนมาประชุมมากที่สุดในเชียงใหม่ มีการมหรศพต่าง เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๕ ถึงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ รวม ๑๕ วัน ๑๕ คืน ได้ปลูกพลับพลาประทับแรม และที่พักเจ้านายข้าราชการ โรงพิธี โรงหนัง โรงละคร สนามมวย โรงเลี้ยง หมวดรักษาการทหาร ตำรวจ สถานีสุขภาพ ประจำที่นั่น ย้ายตลาดขายของสดจากในเมืองตามไปด้วย รวมสิ้นเงินแสนบาทเศษ เพราะต้องจ้างต้องซื้อทั้งนั้น เจ้านครลำปางและเจ้านครลำพูน แพร่ น่าน เชียงราย ตลอดถึงเจ้านายญาติวงศ์ ข้าราชการทุกแผนก ไปช่วยงานนี้ มีสวดแจง แสดงพระธรรมเทศนา ปฐมสังคายนา พระสงฆ์ ๕๐๐ รูปสวดอภิธรรม และถวายของไทยทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเหรียญ อ,ด, ไคว่ด้วยทองคำ กาไหล่ทองและเงิน กับทำแหนบทองคำ และลงยา พระราชทานเป็นของแจกในงานนี้ด้วย.
จบตอนที่ ๕ หน้าที่ ๘ ยังมีต่อไปครับ.
ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)