นี้ก็เข้าเดือนอ้ายมาหลายวันแล้ววันนี้ก็ขึ้น ๗ ค่ำเดือนอ้ายแล้วผมยังนำเสนอพระราชพิธีเดือนสิบสองไม่จบเลยตั้งใจว่าจะนำเสนอจบเป็นเดือนๆไปแต่ก็ด้วยเนื้อหาในพระราชนิพนธ์ที่ละเอียด และยาวมากทำให้ไม่จบแต่ผมคงจะนำเสนอสลับกันไปเพื่อไม่ให้กระทบกับเดือนอื่นๆ จะกลายเป็นโดมิโน่ไป วันนี้เลยนำพระราชนิพนธ์พระราชพิธีเดือนอ้านมานำเสนอสลับไปก็ขออภัยด้วยครับ
หน้าที่ ๖๓ ถึงหน้าที่ ๖๔
พระราชพิธีเดือนอ้าย
การพระราชพิธีในเดือนอ้าย ตามที่มาในกฎมณเฑียร
บาลว่าไล่เรือ เถลิงพิธีตรียัมพวาย เช่นได้นับแลอธิบายในคำนำ
นั้นว่าเปนพิธีเปลี่ยนกันกับเดือนยี่ แต่การที่เปลี่ยนกันนั้นประสงค์
ว่าแต่ตรียัมพวายซึ่งยังเปนพิธียังคงทำอยู่ในกรุงเทพฯ แต่พิธีไล่
เรือซึ่งอยู่น่าพิธีตรียัมพวายนั้นคงยังเปนเดือนอ้ายอยู่ พิธีนี้เปนพิธี
ไล่น้ำตามคำที่กล่าวกันมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้รับสั่งอยู่เนือง ๆ เปนต้นว่าการที่ยกโคมไชยในพิธีจองเปรียงนั้น
ถือกันว่าถ้าเสาโคมยังไม่ได้ลดแล้ว น้ำยังไม่ลด นัยหนึ่งว่าถ้า
ไม่ยกเสาโคมแล้วน้ำจะลด การที่ยกเสาโคมนั้นเปนเครื่องเหนี่ยว
รั้งให้น้ำอยู่เลี้ยงต้นเข้าให้แก่ทั่วถึงก่อน เปนพิธีอุปการะแก่การนา
อยู่ด้วย แลมีคำกล่าวว่าในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัวถ้าเวลายังไม่ได้ลดโคมไชย ถึงว่าจะหนาวเท่าหนาวอย่างไร
ที่จะสวมเสื้อเข้าเฝ้านั้นไม่ได้ กริ้วว่าแช่งให้น้ำลด รับสั้งให้ไปวิด
น้ำเข้านาท้องสนามหลวง แต่ข้อที่ว่าโคมไชยเปนทำนบเปิดน้ำนี้
ถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่าเขาว่าเขาว่าอยู่ ที่
ไม่เห็นลงในประกาศพระราชพิธีจองเปรียง จะเปนด้วยทรงเห็นช่าง
เถอะหนักฤาอย่างไร แต่นับว่าเปนพิธีที่กระวนกระวายขวนขวาย
จะให้น้ำอยู่เลี้ยงต้นเข้าให้นานหน่อยหนึ่ง
ในพระราชนิพนธ์นี้ถ้าอ่านแล้วจะเห็นได้ว่าในพระราชพิธีนั้นมีความเกี่ยวพันธ์กับทั้งทางด้านการเกษตรด้วยซึ่งเป็นพระอัฉริยภาพของบุรพกษัตริย์ในอดีตและได้รู้ถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์อีกด้วยอย่างเช่นท้องสนามหลวงในอดีตที่ยังคงปลูกข้าวในฤดูฝน หรือเรืองการแต่งกายเข้าเฝ้าในเวลานั้นอีกด้วยครับ ถ้าหากติดตามต่อไปคงได้ทราบอะไรอีกมากอย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนล่ะครับ.
ป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เปิด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ๑๐.๓๐ น.ถึง ๑๕.๓๐ น. เชิงสะพานนวรัฐ ฝั่งตะวันออก
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)